วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบการปกครองสมัยสุโขทัย

แบบทดสอบความรู้ออนไลน์
แบบทดสอบเบญจมราชานุสรณ์





1. อาณาจักรสุโขทัยมียุคที่รุ่งเรืองที่สุดอยู่ในสมัยของกษัตริย์พระองค์ใด





2. เมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์คือเมืองใด






3. อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาในสมัยของกษัตริย์พระองค์ใด




4. กฎหมายในข้อใดต่อไปนี้ที่มีการจารึกไว้ในหลักศิลาจารึก




5. ลักษณะการปกครองสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็นกี่ช่วง






6. งานศิลปะในวัฒนธรรมในสมัยสุโขทัยใดไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของศิลปะไทย





7. หลักฐานสำคัญที่ทำให้ทราบเรื่องสุโขทัยมากขึ้น คือ ศิลาจารึกที่พ่อขุนรามฯ โปรดเกล้าให้จารึกอักษรไทยไว้เมื่อ พ.ศ. ใด






8. เมืองใดไม่ได้จัดอยู่ในเมืองเขตราชธานี





9. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนชาวไทย ในวันที่เท่าไหร่





10. อาณาจักรสุโขทัยแบ่งการปกครองออกเป็นกี่ยุค






ผลคะแนน =

เฉลยคำตอบ:






วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แบบทดสอบการปกครองในสมัยสุโขทัย

แบบทดสอบความรู้การปกครองของไทย
แบบทดสอบการปกครองสมัยสุโขทัย





1. อาณาจักรสุโขทัยมียุคที่รุ่งเรืองที่สุดอยู่ในสมัยของกษัตริย์พระองค์ใด

ก.พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

ข.พ่อขุนรามคำแหง

ค.พญาไสลือไทย

ง.พ่อขุนบานเมือง



2. เมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์คือเมืองใด


ก.หัวเมืองชั้นนอก

ข.เมืองประเทศราช

ค.หัวเมืองชั้นใน

ง.เมืองพระยามหานคร



3. กฎหมายใดที่ไม่ปรากฎในหลักศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง

ก.กฎหมายมรดก

ข.กฎหมายค้าขาย

ค.กฎหมายภาษี

ง.กฎหมายการศึกษา



4. ข้อใดไม่สอดคล้องกัน

1. กรมเวียง - พระยมทรงสิงห์
2. กรมวัง - เทพดาทรงโค
3. กรมคลัง - บัวแก้ว
4. กรมนา - เทพดาทรงโค


ก. ข้อ 1

ข. ข้อ 2

ค. ข้อ 3

ง. ข้อ 4



5. ลักษณะการปกครองแบบใดไม่ได้จัดอยู่ในสมัยสุโขทัยตอนต้น

ก. เมืองหลวง

ข. หัวเมืองชั้นใน

ค. หัวเมืองประเทศราช

ง. หัวเมืองชั้นนอก



6. ลักษณะการปกครองสมัยสุโขทัยแบ่งออกเป็นกี่ช่วง

ก. 1 ช่วง

ข. 2 ช่วง

ค. 3 ช่วง

ง. 4 ช่วง



7. งานศิลปะในวัฒนธรรมในสมัยสุโขทัยใดไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของศิลปะไทย

ก. จิตรกรรม

ข. วรรณกรรม

ค. ประติมากรรม

ง. สถาปัตยกรรม



8. หลักฐานสำคัญที่ทำให้ทราบเรื่องสุโขทัยมากขึ้น คือ ศิลาจารึกที่พ่อขุนรามฯ โปรดเกล้าให้จารึกอักษรไทยไว้เมื่อ พ.ศ. ใด

ก. พ.ศ.1825

ข. พ.ศ.1826

ค. พ.ศ.1827

ง. พ.ศ.1828



9. เมืองใดไม่ได้จัดอยู่ในเมืองเขตราชธานี

ก. เมืองพิษณุโลก

ข. เมืองนครศรีธรรมราช

ค. เมืองกำแพงเพชร

ง. ไม่มีข้อใดผิด



10. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนชาวไทย ในวันที่เท่าไหร่

ก. 6 เมษายน 2475

ข. 6 เมษายน 2485

ค. 8 เมษายน 2475

ง. 24 มิถุนายน 2475





ผลคะแนน =

เฉลยคำตอบ:






การปกครองสมัยสุโขทัย
















การเมืองการปกครองของไทย






ประวัติการเมืองการปกครองของไทย






ประเทศไทยมีการบันทึกประวัติศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่งสมัยสุโขทัย






ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทยก็เริ่มตั้งแต่สมัยสุโขทัยเช่นกัน การเมืองการปกครอง






สมัยสุโขทัย(1781-1921) อาณาจักรสุโขทัยมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 3 ยุด คือ ยุดแรก






ปกครองแบบพ่อปกครองลูก คำนำหน้าพระนามพระมหากษัตริย์จะมีคำว่าพ่อขุนนำหน้า






ลักษณะเด่น -มีพลเมืองน้อยปกครองง่าย มีความใกล้ชิดกันระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์






ยุคกลาง ปกครองแบบจักรพรรดิ คำนำหน้าพระนามของพระมหากษัตริย์จะมีคำว่าพญานำหน้า






ลักษณะเด่น มีประชากรเพิ่มมากขึ้น ผู้ปกครองมีอำนาจเด็ดขาดมากขึ้น ยุคปลาย ปกครองแบบ






ธรรมราชา คำนำหน้าพระนามของพระมหากษัตริย์จะมีคำว่าพระมหาธรรมราชาที่นำหน้า






ลักษณะเด่น -นำเอาหลักธรรมของศาสนาพุทธในเรื่องการเป็นผู้นำผู้ปกครองมา ใช้ควบคุมพฤต






กรรมพระมหากษัตริย์ คือทศพิธราชธรรม






ประเทศไทยเป็นชาติที่เก่าแก่และมีประวัติความเป็นมา ที่ยาวนานชาติหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้






การศึกษาประวัติการเมืองการปกครองของไทย จึงเริ่มตั้งแต่ที่ไทยได้ตั้งอาณาจักรที่มั่นคง






ขึ้นในปี พ..1781 โดยอาณาจักรแรกของไทย คือ อาณาจักรสุโขทัย ซึ่งสถาปนาขึ้นโดยพ่อขุนศรี






อินทราทิตย์ ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์พระร่วงการเมืองการปกครองของไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์






ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ..2475 เป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์






ซึ่งเป็นการปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของพระมหากษัตริย์แต่เพียงพระองค์เดียว ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ การเมืองการปกครองของไทย แบ่งออกได้ 4 สมัย ดังนี้






1) สมัยสุโขทัย ( .. 1792 - .. 1981 )






ในสมัยสุโขทัย การปกครองเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากอำนาจสูงสุดในการ






ปกครองรวมอยู่ที่พ่อขุนพระองค์เดียว โดยพ่อขุนไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ในสมัย






สุโขทัยได้มีการจำลองลักษณะครอบครัวมาใช้ในการปกครอง ทำให้ลักษณะการใช้อำนาจของพ่อ






ขุนเกือบทุกพระองค์ เป็นการใช้อำนาจแบบให้ความเมตตาและให้เสรีภาพแก่ราษฎรตามสมควร






ลักษณะทางการเมืองการปกครอง






ในสมัยสุโขทัย พ่อขุนแห่งกรุงสุโขทัยทรงเป็นประมุขและทรงปกครองประชาชนใน






ลักษณะบิดาปกครองบุตรคือ ถือว่าพระองค์เป็นพ่อที่ให้สิทธิและเสรีภาพและมีความใกล้ชิดกับ






ประชาชน มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยและส่งเสริมความสุขให้ประชาชน ประชาชนใน






ฐานะที่เป็นบุตรมีหน้าที่ให้ความเคารพและเชื่อฟังพ่อขุน






พ่อขุนกับประชาชนในรูปแบบของการปกครองแบบบิดาปกครองบุตร ก่อให้เกิด






ความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน กล่าวคือ ประชาชนมีสิทธิถวายฎีกา หรือร้องทุกข์โดยตรงต่อพ่อขุน






เช่น ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้มีกระดิ่งแขวนไว้ที่ประตูวัง ถ้าประชาชนต้องการถวาย






ฎีกาก็จะไปสั่นกระดิ่ง พระองค์ก็จะเสด็จออกมาทรงชำระความให้






ในการจัดการปกครองอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี หรือเป็นเมืองหลวง






อำนาจในการวินิจฉัยสั่งการจะอยู่ที่เมืองหลวง ซึ่งเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์






พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยทรงดำเนินการปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง โดยมี






พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้ช่วยเหลือ ในการปกครองต่างพระเนตรพระ






กรรณ และรับผิดชอบโดยตรงต่อพระองค์






อาณาจักรสุโขทัยได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในสมัยของพ่อขุน






รามคำแหงมหาราช ที่พระองค์ได้ทรงรวบรวมหัวเมืองน้อยใหญ่เข้ามาไว้ในปกครองมากมาย จึง






ยากที่จะปกครองหัวเมืองต่าง ๆ เหล่านั้นด้วยพระองค์เองได้อย่างทั่วถึง






การปกครองเมืองต่าง ๆ ในสมัยสุโขทัยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ






1. การปกครองส่วนกลาง






ส่วนกลาง ได้แก่ เมืองหลวงและเมืองลูกหลวง






เมืองหลวง คือ สุโขทัย อยู่ในความปกครองของพระมหากษัตริย์โดยตรง






เมืองลูกหลวง เป็นเมืองหน้าด่านที่อยู่รายล้อมเมืองหลวงทั้ง 4 ทิศ เมืองเหล่านี้พระมหากษัตริย์จะ






ทรงแต่งตั้งให้พระราชโอรสไปปกครอง ซึ่งได้แก่






(1) ทิศเหนือ เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก)






(2) ทิศตะวันออก เมืองสองแคว (พิษณุโลก)






(3) ทิศใต้ เมืองสระหลวง (พิจิตร)






(4) ทิศตะวันตก เมืองกำแพงเพชร (ชากังราว)






ในสมัยสุโขทัยเรียกเมืองหลวงและเมืองลูกหลวงรวมกันว่า ราชธานี






2. การปกครองหัวเมือง






หัวเมือง หมายถึง เมืองที่อยู่รอบนอกอาณาเขตของเมืองหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ






2.1 หัวเมืองชั้นนอก






หัวเมืองชั้นนอกเป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลกรุงสุโขทัย หรืออยู่รอบนอกอาณาเขตของเมืองหลวง






2.2 หัวเมืองประเทศราช






หัวเมืองประเทศราชเป็นเมืองภายนอกพระราชอาณาจักร เมืองเหล่านี้มีกษัตริย์ของตนเองปกครอง






แต่ยอมรับในอำนาจของกรุงสุโขทัย พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นเพียงเจ้าคุ้มครอง โดยหัว






เมืองเหล่านี้จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย และส่งทหารมาช่วยรบเมื่อทางกรุงสุโขทัยมี






คำสั่งไปร้องขอในสมัยพ่อขุนรามคำแหง กรุงสุโขทัยมีหัวเมืองประเทศราชจำนวนมาก เช่น เมืองเซ่า น่าน






เวียงจันทน์ นครศรีธรรมราช ยะโฮร์ หงสาวดี เป็นต้น






ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง เมื่อ พ..1826 ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น โดยใช้อักษรมอญ






และอักษรขอม รวมทั้งอักษรไทยเก่าแก่บางอย่างเป็นตัวอย่าง ทำให้ชาติไทยมีอักษรไทยใช้เป็นวัฒนธรรมของเราเอง






ในสมัยสุโขทัย นอกจากจะมีความสัมพันธ์อันดีกับเมืองอิสระทางเหนือแล้ว ยังมีการค้าขาย






ติดต่อกับต่างประเทศด้วย เช่น จีน มอญ มลายู ลังกา และอินเดีย สมัยสุโขทัยจึงเป็นสมัยที่เริ่มมีชาวต่างประเทศ






เข้ามาประกอบการต่าง ๆ เช่น ชาวจีนเข้ามาทำเครื่องสังคโลก และเป็นสมัยที่มีการ






สนับสนุนการค้าโดยไม่เก็บภาษีศุลกากร หรือจกอบเพื่อเป็นแรงจูงใจสำหรับการค้าขายระหว่าง






ประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ พ่อขุนรามคำแหงยังทรงศรัทธาในหลักปฏิบัติที่เคร่งครัดของพระภิกษุ






ในพระพุทธศาสนานิกายหินยานที่มีความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในประเทศลังกา โดยได้ทรงนิมนต์พระภิกษุ






สงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์มาประจำที่กรุงสุโขทัย เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาลัทธิใหม่ และในเวลาไม่






นานนัก พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ก็มีความเจริญในสุโขทัย ประชาชนพากันยอมรับนับถือและ






กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติไทยในที่สุด






การนำพระพุทธศาสนาเข้ามา และพ่อขุนรามคำแหงได้ทรงทำตัวอย่าง ให้ประชาชนเห็นถึง






ความเคารพของพระองค์ที่มีต่อพระภิกษุและหลักธรรม ทำให้ศาสนากลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว






จิตใจ ก่อให้เกิดศีลธรรมจรรยาและระเบียบวินัยแก่ประชาชน ทำให้มีความสามัคคีปรองดองเป็น






อันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เพราะทั้งพ่อขุนและประชาชนมีหลักยึด






และปฏิบัติในทางธรรม พระมหาธรรมราชาลิไทย พ่อขุนของสุโขทัยในสมัยต่อมา ได้ทรงนิพนธ์หนังสือไทยเรื่อง






เกี่ยวกับศาสนา ชื่อไตรภูมิพระร่วงและในหนังสือเรื่องนี้เอง ได้กล่าวถึงทศพิธราชธรรมอัน






เป็นหลักธรรมของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา






อาณาจักรสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ต่อมาก็ค่อยๆ เสื่อมอำนาจ






โดยบรรดาหัวเมืองประเทศราชต่าง ๆ เริ่มแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อสุโขทัย






โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวเมืองเผ่าไทยทางใต้ คือ กรุงศรีอยุธยา ได้แผ่อำนาจเข้ามามีอิทธิพลเหนือกรุง






สุโขทัย ในที่สุด อาณาจักรไทยยุคสุโขทัยก็ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา






2) สมัยอยุธยาตอนต้น






สมัยอยุธยา ( .. 1893 - .. 2310 )






การปกครองในสมัยอยุธยาเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจในการปกครอง






จะอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว เหมือนกับในสมัยสุโขทัย แต่ต่อมา แนวความคิดในการ






ปกครองนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป






ลักษณะทางการเมืองการปกครอง






สมัยอาณาจักรอยุธยาตอนต้น มีการปกครองแบบเดียวกับสมัยสุโขทัย แต่หลังจากที่ไทย






สามารถตีนครธมของขอมได้ใน พ..1974 และกวาดต้อนขุนนางและประชาชนชาวขอมที่เคยอยู่






ภายใต้อำนาจของอินเดียเข้ามาในอยุธยาเป็นจำนวนมาก ขุนนางและประชาชนเหล่านี้ได้เอา






แนวความคิดในการปกครองของเขมร ที่ได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งจากลัทธิพราหมณ์มาใช้ในกรุงศรี






อยุธยา คือ แบบเทวราชา หรือ เทวสิทธิ ทำให้แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องเทวราชาเข้ามามีอิทธิพลต่อ






สังคมไทยมากขึ้น และทำให้สถาบันการปกครองของไทยเปลี่ยนแปลงไป จากการปกครองแบบ






"พ่อ" กับ "ลูก" ในสมัยสุโขทัย มาเป็นการปกครองแบบ "นาย" กับ "บ่าว" ทั้งนี้เพราะการปกครอง






แบบเทวสิทธิ์ถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นเสมือนเจ้าชีวิต เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาด สามารถกำหนดชะตา






ชีวิตของผู้อยู่ใต้การปกครองได้ และถือว่าอำนาจในการปกครองนั้น พระมหากษัตริย์ทรงได้รับจาก






สวรรค์ เป็นเทวโองการ การกระทำของพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า






พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเสมือนเทพเจ้าองค์หนึ่ง หรือเป็น "สมมุติเทพ" กล่าวคือ เป็นนายของ






ประชาชน และประชาชนเป็นบ่าวของพระมหากษัตริย์ที่จะขัดขืนมิได้โดยเด็ดขาด พระมหากษัตริย์






จึงทรงเป็นเจ้าชีวิตของประชาชนทุกคน กษัตริย์ในสมัยอยุธยาจึงห่างเหินจากประชาชนเป็นอันมาก






ซึ่งอาจเรียกการปกครองแบบนี้ว่า "ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์" คือ พระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว






การปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยามีเป้าหมายเช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย คือ ป้องกันการรุกรานของศัตรู






รักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม และขยายอาณาเขตออกไปกว้างขวาง






สำหรับเรื่องการปกครองนั้น เนื่องจากสมัยอยุธยามีระยะเวลายาวนาน และมีการ






เปลี่ยนแปลงรูปแบบและหลักเกณฑ์ในการปกครอง ไม่ได้ใช้รูปแบบเดียวกันตลอดสมัย จึงอาจแบ่ง






การปกครองในสมัยอยุธยาออกได้เป็น 2 สมัย คือ






(2.1) สมัยอยุธยาตอนต้น ( ..1893 - .. 1991 )






การปกครองในสมัยอยุธยาตอนตัน เริ่มตั้งแต่ พ..1893 ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่






ทอง) ซึ่งเป็นผู้สถาปนาอาณาจักรอยุธยา ไปจนกระทั่งถึงสิ้นรัชสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราช






ที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ใน พ..1991






การจัดระเบียบการปกครองในสมัยอยุธยาตอนต้น แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ






1) การปกครองส่วนกลาง






พระเจ้าอู่ทองได้ทรงจัดระเบียบการปกครองส่วนกลางเป็นแบบจตุสดมภ์ตามแบบขอม มี






พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้อำนวยการปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี 4 คน คือ ขุนเมือง (เวียง) ขุนวัง






ขุนคลัง และขุนนา เป็นผู้ช่วยดำเนินการเกี่ยวกับกิจการทั้ง 4 คือ






(1) เมือง (เวียง) รับผิดชอบด้านรักษาความสงบและปราบปรามโจรผู้ร้าย






(2) วัง รับผิดชอบเกี่ยวกับราชสำนัก การยุติธรรม และตัดสินคดีความต่าง ๆ






(3) คลัง รับผิดชอบงานด้านคลังมหาสมบัติ การค้า และภาษีต่าง ๆ






(4) นา รับผิดชอบเกี่ยวกับการเกษตร






โดยให้ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเป็นศูนย์กลางการปกครอง






2) การปกครองหัวเมือง






สมัยอยุธยาตอนต้นได้แบ่งการปกครองหัวเมือง ออกเป็นหัวเมือง 3 ประเภท คือ






(1) หัวเมืองชั้นใน






หัวเมืองชั้นในประกอบด้วยเมืองหน้าด่านชั้นในสำหรับป้องกันในราชธานี 4 ทิศ คือ ลพบุรี






นครนายก พระประแดง และสุพรรณบุรี รวมทั้งหัวเมืองชั้นในเรียงรายตามระยะทางคมนาคม






สามารถติดต่อกับราชธานีได้ภายใน 2 วัน เช่น นครพนม สิงห์บุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี เพชรบุรี ราชบุรี






เป็นต้น






(2) หัวเมืองชั้นนอก






หัวเมืองชั้นนอกหรือเมืองพระยามหานคร ได้แก่ เมืองซึ่งอยู่นอกเขตหัวเมืองชั้นใน และอยู่ไกล






ออกไปตามทิศต่าง ๆ ได้แก่ ทิศตะวันออก เช่น โคราช จันทบุรี ทิศใต้ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช






พัทลุง สงขลา ถลาง ทิศตะวันตก เช่น ตะนาวศรี ทวาย และเชียงกราน เมืองเหล่านี้บางเมืองในสมัย






สุโขทัย จัดเป็นเมืองประเทศราช แต่ในสมัยอยุธยาได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นหัวเมืองชั้นนอก






(3) หัวเมืองประเทศราช






หัวเมืองประเทศราช ได้แก่ เมืองมะละกา ยะโฮร์ ทางแหลมมลายู และกัมพูชาด้านตะวันออกการ






ปกครองส่วนภูมิภาคนอกจากจัดเป็นหัวเมืองต่าง ๆ แล้ว ยังมีการจัดระเบียบการปกครองท้องที่ใน






หัวเมืองชั้นในอีก โดยแบ่งออกเป็นแขวง แขวงแบ่งออกเป็นตำบล และตำบลแบ่งออกเป็นหมู่บ้าน






โดยมีผู้ปกครองตามระดับ คือ หมื่น เป็นบรรดาศักดิ์ของหัวหน้าผู้ปกครองระดับแขวง และพันเป็น






บรรดาศักดิ์ของหัวหน้าผู้ปกครองระดับตำบลและหมู่บ้าน ประชาชนในสมัยอยุธยาตอนต้นมีฐานะเป็นไพร่






ทำหน้าที่ทั้งทางทหาร และหน้าที่ทางพลเรือนพร้อมกันไป เพราะว่าการปกครองในสมัยนั้นยังไม่ใช้ทฤษฎีการแบ่งงาน ประชาชนเป็นไพร่ได้รับที่ดินตามที่ตนและครอบครัวจะทำการเพาะปลูกได้ เมื่อมีผลผลิตเกิดขึ้น






ไพร่จะต้องมอบส่วนหนึ่งให้กับขุนวัง หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลที่ดินนั้น ไพร่จะต้องสละเวลาส่วนหนึ่งไป






รับใช้ผู้ที่ยอมให้ตนอยู่ในที่ดินของเขา ขุนนางจะเป็นผู้ควบคุมไพร่โดยตรง และมีหน้าที่ระดมกำลัง






ยามศึกสงคราม หรือเกณฑ์แรงงานไปช่วยทำงานสาธารณประโยชน์ ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนหรือ






ไพร่ทุกคนต้องรับใช้พระมหากษัตริย์ หรือไพร่มีฐานะเป็นทหารทุกคน






ลักษณะทางเศรษฐกิจในช่วงแรก (.. 1893 - .. 2034)






(1) เกษตรกรรม






เนื่องจากกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบตั้งอยู่บนแม่น้ำสำคัญหลาย






สาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำลพบุรี แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะ






กง ทำให้เขตราชธานีและอาณาบริเวณโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการประกอบ






อาชีพเกษตรกรรม เช่น การทำนา การปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น ดังนั้น การปกครองหัวเมืองต่างๆ






โดยใช้ระบบจตุสดมภ์ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) จึงเหมาะสม เพราะเสนาบดี






กรมนา (เกษตราธิการ) มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับการทำนาและการเพาะปลูกต่างๆ รวมทั้งการ






ออกโฉนดที่ดินให้กับประชาชนทั่วไปหักร้างถางพงบริเวณที่ดินที่ตนต้องการ โดยเสนาบดีจะดูแล






การจัดเก็บภาษีหางข้าวจากประชาชนที่ทำนา เพื่อสะสมรวบรวมไว้เป็นเสบียงหลวงสำหรับใช้ใน






ราชการแผ่นดินต่อไป สำหรับที่ดินซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญเกี่ยวกับการผลิตทางด้านการเกษตรนั้น






ในกฎหมายที่ตราขึ้นใช้ในสมัยอยุธยา ได้ระบุไว้ว่า เมื่อผู้ใดหักร้างถางพงเป็นไร่นาแล้ว ก็ให้ไปแจ้งแก่เจ้าหน้าที่เพื่อ






จะได้ไปตรวจดูและออกใบโฉนดให้กับผู้นั้นเป็นหลักฐาน สิ่งสำคัญก็คือประมุขสูงสุดของ






อาณาจักร คือ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมด จะทรงพระราชทานให้กับผู้ใดก็ได้






สำหรับแรงงานนั้น ได้มีการออกกฎหมายให้ชายฉกรรจ์ทุกคนซึ่งเป็นแรงงานสำคัญ






จะต้องไปขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย เพื่อสะดวกในการเกณฑ์แรงงานของทางราชการแผ่นดินใน






โอกาสต่อไป แรงงานชายฉกรรจ์เหล่านี้ ถ้าไม่ต้องไปสละแรงงานให้กับทางราชการ ก็สามารถ






ดำเนินการประกอบอาชีพทางด้านเกษตรกรรมและด้านอื่นๆ ของตนได้ แรงงานไพร่นับว่ามี






ปริมาณมากกว่าแรงงานประเภทอื่น รองลงมาก็คือ แรงงานทาส ผลิตผลทางการเกษตรที่สำคัญ






คือ ข้าว นอกจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมโดยตรงแล้ว ยังมีคนไทยบางพวกบางกลุ่มประกอบอาชีพในการหาของป่า เช่น ไม้ฝาง นอแรด งาช้าง หนังสัตว์ ครั่งยางสน กฤษณา น้ำมันสน เป็นต้น ผลิตผลที่ได้จากป่าเหล่านี้






เป็นที่ต้องการของชาวต่างชาติที่เข้ามาติดต่อค้าขายในกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง






ในบางแห่งผลผลิตที่นำมาถวายจัดว่าเป็นเครื่องราชบรรณาการได้






(2) การค้ากับต่างประเทศ






ลักษณะทางเศรษฐกิจในสมัยอยุธยาตอนต้นขึ้นอยู่กับการค้ากับต่างประเทศมิใช่น้อย ถึงแม้ว่าใน






ขณะนั้น (.. 1893 - .. 2054) เป็นสมัยที่อยุธยายังมิได้ติดต่อกับประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก






การค้าขายกับต่างประเทศจะเป็นการค้าสำเภาทั้งหมด ซึ่งดำเนินการโดยพระมหากษัตริย์ พระ






ราชวงศ์ และขุนนาง ส่วนพ่อค้าและประชาชนในอยุธยาไม่มีความสามารถที่จะค้าขายโดยเรือสำเภา






ด้วยตนเองได้ จะมีแต่พ่อค้าจีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าสำเภาโดยเฉพาะประชาชนที่มีสินค้า






จะฝากไปขายต่างเมืองทางเรือสำเภา จะต้องหา "ผู้เฒ่าผู้แก่" หรือผู้อาวุโสที่น่าเชื่อถือ






หรือเพื่อนฝูงมาเป็นพยานในเรื่องการคิดราคาสินค้าที่จะฝากไปกับสำเภา ในสมัย






อยุธยาตอนต้นการค้าสำเภาเจริญรุ่งเรืองพอสมควร เพราะมีการเอ่ยถึงการค้าสำเภาไว้ในกฎหมาย






อยุธยาลักษณะต่างๆ การค้าขายกับจีน นอกจากจะส่งสินค้าไปขายโดยตรงแล้ว ยังมีการค้าในระบบบรรณาการ






คือ การจัดคณะทูตอัญเชิญพระราชสาส์นและเครื่องราชบรรณาการไปถวายจักรพรรดิจีน เพื่อแสดง






ความอ่อนน้อม จักรพรรดิจีนก็จะมอบของตอบแทนกลับมาเกือบ 2 เท่าของราคาสิ่งของที่นำไป






ถวาย และทางจีนจะอนุญาตให้ซื้อขายสินค้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรแต่อย่างใด พ่อค้าจึงนิยมค้า






กับพ่อค้าจีนในระบบบรรณาการ เพราะได้ประโยชน์และได้รับความสะดวกความปลอดภัยด้วย






ลักษณะทางสังคม






ในสมัยอยุธยา อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมศักดินา เพราะในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ






(..1991 - ..2031) พระองค์ได้ทรงตราพระราชกำหนดศักดินาขึ้นมาใช้อย่างเป็นทางการใน






..1997 โดยกำหนดให้บุคคลทุกประเภทในสังคมไทยมีศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น นับตั้งแต่พระบรม






วงศานุวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ ลงไปถึงบรรดาไพร่ ทาส และพระสงฆ์ ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่ง






มิได้ระบุศักดินาเอาไว้ เพราะทรงเป็นเจ้าของศักดินาทั้งปวงนั่นเอง






คำว่า "ศักดินา" หมายถึง การถือเอาศักดิ์ของคนเป็นเกณฑ์แต่อย่างเดียว ทุกคนมีข้อกำหนดศักดินา






ตามแต่ละบุคคล โดยถือเป็นเครื่องกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในสังคม แต่มิได้หมายความว่า






ศักดินาจะเป็นข้อกำหนดตายตัวเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน ใครมีศักดินาสูงก็ต้องมี






สิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบสูง ใครมีศักดินาต่ำก็มีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบต่ำลดหลั่น






กันไปตามลำดับ หน่วยที่ใช้ในการกำหนดศักดินา ใช้จำนวนไร่เป็นเกณฑ์






ระบบศักดินาจะอำนวยประโยชน์ในการควบคุมบังคับบัญชาผู้คนตามลำดับชั้นของศักดินา






และการมอบหมายให้คนมีหน้าที่รับผิดชอบที่กำหนดไว้ด้วย เมื่อบุคคลทำผิดต่อกันก็สามารถใช้






เป็นหลักในการปรับไหมได้ เช่น ผู้ใหญ่ทำผิดต่อผู้น้อยก็ปรับไหมตามศักดินาของผู้ใหญ่ ถ้าผู้น้อย






ทำผิดต่อผู้ใหญ่ก็ปรับผู้น้อยตามศักดินาของผู้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งพอจะเป็นหลักการในการป้องกันมิ






ให้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย และมิให้ผู้น้อยละเมิดผู้ใหญ่เช่นกันในสมัยอยุธยา สังคมไทยประกอบด้วยบุคคลประเภทต่าง ๆ ที่สามารถจำแนกออกได้ตาม สิทธิ หน้าที่ และศักดิ์ของบุคคลในสังคมดังนี้






1) พระมหากษัตริย์






พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขสูงสุดของราชอาณาจักร ทรงได้รับการยกย่องเป็นสมมติเทพ เช่น เป็น






พระนารายณ์อวตารบ้าง เป็นประดุจดังพระศิวะบ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นพระผู้เป็นเจ้าในศาสนา






พราหมณ์ทั้งสิ้น ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในแผ่นดิน






ความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ ซึ่งสันนิษฐานว่า






ไทยรับเอามาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง หากผู้ใดขัดขืนพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ จะต้อง






มีความผิดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับการละเมิดอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง






ได้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน พ..1893แล้ว พระองค์ทรงใช้พระนามว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1






และพระราชโอรสของพระองค์ก็ใช้พระนามว่า พระราเมศวร การออกพระนามพระมหากษัตริย์เสมือนหนึ่งพระนามของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ พระนารายณ์ พระศิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคตินิยมที่ถือว่า พระมหากษัตริย์






ทรงเป็นประดุจดังเทพเจ้า การที่อยุธยาในระยะเริ่มแรกรับเอาคตินิยมเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์






ว่าเป็นสมมติเทพ จึงทำให้ต้องมีวิธีการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้คนนึกว่าพระมหากษัตริย์มีความเป็นเทพเจ้าจริง ๆ






2) พระบรมวงศานุวงศ์






ชนชั้นสูงที่มีฐานะรองลงมาจากพระมหากษัตริย์ ได้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งนี้หมายถึง พระบรม






วงศานุวงศ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์อยู่ในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น บรรดาพระบรมวงศานุ






วงศ์ บางทีเรียกกันว่า "เจ้านาย" บรรดาเจ้านายในพระราชวงศ์นั้นทรงมีศักดินามาตั้งแต่แรกประสูติ






ทั้งสิ้น ศักดินาของพระราชวงศ์เพิ่มขึ้นและลดลงได้ตามความชอบและความผิดที่มีต่อแผ่นดิน






ในสมัยอยุธยา ภายหลังจากที่ได้มีการตราพระราชกำหนดศักดินาใน พ..1997 แล้ว ปรากฏ






ว่าบรรดาเจ้านายต่างมีศักดินาทุกพระองค์ เช่น สมเด็จพระอนุชาร่วมสายโลหิตเดียวกันกับองค์






พระมหากษัตริย์มีศักดินา 20,000 ไร่ ส่วนพระเจ้าลูกเธอมีศักดินา 15,000 ไร่ แต่ถ้าได้รับสถาปนา






เป็นพระมหาอุปราชก็จะดำรงศักดินา 100,000 ไร่ เป็นต้น






บรรดาเจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์เหล่านี้ จะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ภาษีอากรของแผ่นดิน






ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงพระราชทานให้ ส่วนสิทธิตามกฎหมายของเจ้านายก็คือ จะถูกพิจารณาคดีในศาลใด ๆ






ไม่ได้ นอกจากศาลของกรมวัง และจะนำเจ้านายไปขายเป็นทาสไม่ได้เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้กระทำสัญญาซื้อขาย






เช่นนั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย






3) ขุนนางข้าราชการ






ขุนนางและข้าราชการ คือ บุคคลที่รับราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ ในสมัยอยุธยา






ขุนนางมีฐานะตั้งอยู่บนเกณฑ์ 4 ประการ คือ ศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่ง เช่น






เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายก ถือศักดินา 10,000ไร่ อธิบายได้ว่าขุนนางผู้นี้มีศักดินา 10,000






ไร่ ยศ คือ เจ้าพระยา ราชทินนาม คือ จักรีศรีองครักษ์ ตำแหน่ง คือ สมุหนายก เป็นต้น






ตำแหน่งขุนนางที่สำคัญ ๆ ในสมัยอยุธยา คือ สมุหพระกลาโหม ถือศักดินา 10,000 ไร่ สมุหนายกถือศักดินา 10,000 ไร่ บรรดาเสนาบดีจตุสดมภ์ก็มีศักดินาคนละ 10,000 ไร่ เช่นกัน






ขุนนางนั้นมีธรรมเนียมว่า จะต้องมีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไป จึงจะเป็นขุนนางได้ ถ้าศักดินาต่ำ






กว่า 400 ไร่ แต่ไม่น้อยกว่า 25 ไร่ ก็อาจเป็นข้าราชการได้ แต่ยังไม่ถึงระดับ "ขุนนาง"






อย่างไรก็ตาม ขุนนางก็มีโอกาสจะถูกถอดออกจากตำแหน่งได้ ถ้ามีความผิด และบรรดาศักดิ์ของขุนนางมิได้ตกทอดไปถึงลูกหลาน เมื่อตายแล้วก็หมดสิ้นไป หรือบรรดาศักดิ์นี้อาจหมดสิ้นไปในขณะที่ขุนนางยังมีชีวิตอยู่ก็ได้






4) ไพร่






ไพร่ คือ บรรดาราษฎรสามัญชนในความหมายปัจจุบัน ไพร่ต้องมีภาระ คือ การรับใช้ราชการ






แผ่นดินของพระมหากษัตริย์ ไพร่จะเป็นชายฉกรรจ์ จะถูกมูลนายเอาชื่อเข้าบัญชีเพื่อเกณฑ์ไปใช้ใน






ราชการต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ไพร่จึงต้องสังกัดอยู่กับเจ้าขุนมูลนายที่ตนสมัครใจอยู่ด้วย การที่ชายฉกรรจ์






สามัญชนทุกคนต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่จะได้รับความคุ้มครองตาม






กฎหมาย เพราะกฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าชายฉกรรจ์ไม่มีสังกัด ก็ไม่มีสิทธิในการศาล และไม่มีสิทธิที่






จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย






ไพร่ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามสังกัด คือ






(1) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่สังกัดกรมกองต่าง ๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง หน้าที่






ของไพร่หลวงจึงแตกต่างกันไปตามแต่หน้าที่ของกรมกองนั้น ไพร่หลวงมี 2 ลักษณะ คือ ประเภทที่






ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานที่ทางราชการกำหนด และประเภทที่ต้องเสียเงินหรือสิ่งของมาแทน






การเกณฑ์แรงงาน หรือเรียกว่า ไพร่ส่วย ในช่วงแรก ๆ จะมีการส่งของมาแทนการเกณฑ์แรงงาน






หรือที่เรียกว่า "การเข้าเวร" แต่ในตอนปลายสมัยอยุธยา ประมาณในช่วงแผ่นดินสมเด็จพระ






นารายณ์มหาราชจะมีการส่งเงินมาแทนการเกณฑ์แรงงานมากขึ้น เงินที่ส่งมาเรียกว่า "เงินค่า






ราชการ"






(2) ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทาง






ราชการเพื่อเป็นผลประโยชน์ ไพร่สมจะตกเป็นของมูลนายตราบเท่าที่ขุนนางผู้เป็นมูลนายยังมีชีวิต






อยู่ในตำแหน่งราชการ เมื่อมูลนายถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตร






ของขุนนางผู้นั้นจะยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมต่อไปจากบิดา






ไพร่หลวงเป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์และจะต้องถูกเกณฑ์แรงงานไปใช้เป็นเวลา 6 เดือน






ต่อปี คือ เข้าไปรับราชการ 1 เดือน ออกมาอยู่บ้านของตน 1 เดือน กลับเข้าไปรับราชการอีก 1 เดือน






สลับกันไปอย่างนี้ จึงเรียกการถูกเกณฑ์แรงงานในลักษณะนี้ว่า "การเข้าเวร" และ "การออกเวร"






อย่างไรก็ตาม ไพร่สามารถเปลี่ยนฐานะของตนเองได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับสูง คือ ขุนนาง






ส่วนระดับต่ำ คือ ทาส แรงงานของไพร่มีประโยชน์ต่อมูลนายทั้งในด้านการเป็นกำลังไพร่พล การ






เป็นกำลังการผลิต และแรงงานของไพร่ก็เป็นประโยชน์ของทางราชการทั้งการเป็นกำลังพลและกำลังการผลิตเช่นเดียวกัน






ไพร่หลวงจะมีฐานะลำบากที่สุดเมื่อเทียบกับไพร่สม เพราะไพร่สมมีหน้าที่รับใช้แต่เพียงมูลนาย จึงมีความสบายกว่า






ไพร่หลวง ซึ่งถูกเกณฑ์แรงงานโดยทางราชการ จึงจำเป็นต้องทำงานหนักกว่า






5) ทาส






ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้มีกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเอง แต่กลับตกเป็นของนาย






จนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวให้พ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิในการซื้อขายทาสได้






ทาสในสมัยอยุธยามี 7 ประเภท คือ






(1) ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์






(2) ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย






(3) ทาสที่ได้มาจากข้างฝ่ายบิดามารดา






(4) ทาสที่มีผู้ให้






(5) ทาสที่ได้มาด้วยการช่วยเหลือคนต้องโทษทัณฑ์






(6) ทาสที่เลี้ยงดูไว้ในยามเกิดทุกข์และอดอยาก






(7) ทาสเชลย






ทาสเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะความยากจน จึงต้องขายตัวลงเป็นทาส ส่วนคนที่มีฐานะดี






ก็พยายามที่จะมีทาสไว้ใช้สอย






ด้วยเหตุนี้ ทาสจึงเป็นบุคคลที่ต่ำต้อยในสังคม และได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากคนทั่วไป






ที่เหนือกว่า ขาดความเป็นตัวของตัวเอง และโอกาสที่คนจะขายตัวเป็นทาสก็มีมาก เพราะมีความ






ยากจนเป็นปัจจัยสำคัญนั่นเอง






6) พระสงฆ์






พระสงฆ์ เป็นบุคคลที่สืบทอดพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงได้รับการยกย่องศรัทธาจากบุคคลทุกชน






ชั้นในสังคม พระสงฆ์จึงเป็นสถาบันหลักของสังคม และเป็นบันไดสำหรับสามัญชนที่จะเปลี่ยนชน






ชั้นของตน สังคมสงฆ์เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น เพราะชนชั้นสูงอย่างพระมหากษัตริย์หรือพระบรม






วงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ ทาส ก็สามารถจะบวชเป็นพระสงฆ์ได้เช่นกัน พระมหากษัตริย์






ทุกพระองค์จะทรงเป็นองค์อุปถัมภกพระพุทธศาสนาทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ วัดได้กลายเป็น






เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส40102 เรื่องการเมืองการปกครองของไทย






สาขาวิชาสังคมศึกษาและศิลปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จังหวัดนครปฐม






ศูนย์กลางของสังคม บุคคลที่บวชเรียนก็สามารถหาความรู้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น สถาบันสงฆ์จึงมี






บทบาทในการเชื่อมประสานระหว่างชนชั้นในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข






(2.2) สมัยอยุธยาตอนปลาย






สมัยอยุธยาตอนปลาย ( ..1991 - .. 2310 )






การปกครองในสมัยอยุธยาตอนปลาย เริ่มตั้งแต่ พ..1991 ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ






ไปจนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา ในพ..2310 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง






..1991 - ..2031 ได้ปฏิรูปการปกครองใหม่ดังนี้






1) การปกครองส่วนกลาง






ราชธานี ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถได้ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง โดยได้แต่งตั้งขุน






นางไปปกครองเมืองลูกหลวงและให้ขึ้นต่ออัครมหาเสนาบดี เรียกว่า "เมืองพระยามหานคร" ซึ่ง






เป็นการรวมอำนาจเข้าส่วนกลางมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเมืองพระยามหานครอีก 4 เมือง ที่มิได้มี






ฐานะเป็นเมืองลูกหลวง คือ นครศรีธรรมราช นครราชสีมา ตะนาวศรี และทวาย พระองค์ได้แต่งตั้ง






ขุนนางไปปกครองเช่นกัน แต่มีฐานะกึ่งอิสระ เพื่อตอบแทนความดีความชอบในการปฏิบัติราชการ






ของขุนนางเหล่านั้นการจัดระเบียบการปกครองที่ได้พัฒนาขึ้นในสมัยพระบรมไตรโลกนาถอีกประการหนึ่ง






คือ การแยกข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนออกจากกัน เพื่อการแบ่งงานรับผิดชอบอย่าง






ชัดเจน คือ ฝ่ายทหาร มีพระสมุหกลาโหม หรืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เป็นหัวหน้า มีหน้าที่บังคับ






บัญชา และรับผิดชอบในกิจการทหารและการป้องกันประเทศ






ฝ่ายพลเรือน มีพระสมุหนายก หรืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เป็นหัวหน้า มีหน้าที่บังคับ






บัญชาและรับผิดชอบกิจการพลเรือน คือ เวียง วัง คลัง นา






ส่วนไพร่ได้รับสิทธิเลือกสังกัดฝ่ายทหารหรือฝ่ายพลเมืองได้ แต่ในยามสงคราม ไพร่ทั้ง






สองฝ่ายต้องออกรบด้วยกัน ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยศักดินาขึ้นและ






ใช้มาจนถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น "ศักดินา" คือ วิธีการให้เกียรติยศแก่บุคคลตั้งแต่ขุนนาง ข้าราชการ ลงไป






จนถึงไพร่และทาส โดยกำหนดจำนวนที่นามากน้อยตามศักดิ์หรือเกียรติยศของบุคคล เช่น ขุนนาง






ชั้นเอก คือ ชั้นเจ้าพระยามีศักดินา 10,000 ไร่ คนธรรมดาสามัญมีศักดินา 25 ไร่ ทาสมีศักดินา 5 ไร่ เป็นต้น






การกำหนดระบบศักดินาขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์ในการกำหนดสิทธิและหน้าที่ของประชาชน






นอกจากนี้ ระบบศักดินายังเกี่ยวพันกับการชำระโทษและปรับไหมในกรณีกระทำผิดอีกด้วย คนที่ถือศักดินาสูง






เมื่อทำผิดจะถูกลงโทษหนักกว่าผู้มีศักดินาต่ำ การปรับในศาลหลวง ค่าปรับนั้นก็เอาศักดินาเป็นบรรทัดฐาน






2) การปกครองหัวเมือง






พระบรมไตรโลกนาถพยายามจัดการปกครองหัวเมืองเสียใหม่ เพื่อให้ส่วนกลางสามารถคุมหัวเมือง






ทั้งหลายได้ แต่ก็ปรากฏว่าไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการคมนาคมไม่สะดวก คงทำได้






สำเร็จเฉพาะหัวเมืองใกล้เคียงหรือหัวเมืองรอบ ๆ เมืองหลวงเท่านั้น






หัวเมืองในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ นอกจากเมืองพระยามหานครที่พระมหากษัตริย์ทรง






แต่งตั้งขุนนางไปปกครองแล้ว ยังมีหัวเมืองประเทศราช ที่มีเจ้าเมืองของตนเอง แต่ยอมขึ้นต่อกรุง






ศรีอยุธยา โดยส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายทุกปี หัวเมืองประเทศราชเหล่านี้ มีทั้งใกล้และไกล






เช่น เชียงใหม่ เชียงแสน เชียงรุ้ง ยะโฮร์ มะละกา เป็นต้นต่อมา






ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ปฏิรูปการปกครองหัวเมืองใหม่ โดยยกเลิก






เมืองพระยามหานคร และจัดแบ่งเมืองนอกเขตราชธานีออกเป็น 3 ชั้น คือ






(1) หัวเมืองชั้นเอก มี 2 เมือง คือ พิษณุโลกและนครศรีธรรมราช






(2) หัวเมืองชั้นใน มีหลายเมือง เช่น สวรรคโลก สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบุรี เป็นต้น






(3) หัวเมืองชั้นตรี เช่น พิชัย นครสวรรค์ ไชยา พัทลุง เป็นต้น






หัวเมืองแต่ละชั้นยังมีเมืองย่อยอยู่โดยรอบ เรียกเมืองเหล่านี้ว่า เมืองจัตวา การจัดการ






ปกครองหัวเมืองแบบนี้มีมาโดยตลอด และได้ยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์






ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในสมัยอยุธยา นอกจากการค้าขายกับชาติต่าง ๆ ใน






เอเชียแล้ว ยังมีการค้าขายกับชาวตะวันตกด้วย โดยชาวตะวันตกชาติแรก คือ โปรตุเกส ได้ส่งทูตชื่อ






ดูอาร์ต เฟอร์นันเดซ เข้ามาใน พ..2061 ในสมัยพระรามาธิบดีที่ 2 โดยได้มีการเซ็นสัญญาอนุญาต






ให้ชาวโปรตุเกสทำมาค้าขายในดินแดนไทยได้ ต่อจากนั้นก็มีชนชาติอื่น เช่น สเปน อังกฤษ






ฮอลันดา ฝรั่งเศส ทยอยกันเข้ามามีสัมพันธ์ทางการค้ากับไทย โดยปกติ






พระมหากษัตริย์ของไทยมักให้การต้อนรับชนต่างชาติเป็นอย่างดี บางครั้งก็มีกองกำลังต่างชาติประจำการ






เป็นอาสาประจำอาณาจักร โดยเฉพาะในสมัยพระนารายณ์มหาราช (..2199 - 2231) มีชาวต่างประเทศเข้ามา






รับราชการในตำแหน่งสำคัญ ๆ หลายคน และมีการแลกเปลี่ยนทูตกับฝรั่งเศสหลายครั้ง






หลังจากสมัยพระนารายณ์มหาราชมาแล้ว อิทธิพลของชาวตะวันตกในราชสำนักจึงลดลง






เพราะพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาตอนปลายไม่นิยมชาวตะวันตก เพราะระแวงว่าจะเข้ามาหาทางครอบครองเอาชาติไทย






เป็นเมืองขึ้น






ลักษณะทางเศรษฐกิจในช่วงที่สอง (.. 2034 - .. 2310 )






(1) เกษตรกรรม






เกษตรกรรมในสมัยอยุธยาช่วงที่สองยังคงดำเนินไปดังเช่นในสมัยอยุธยาช่วงแรก






(2) การค้ากับต่างประเทศ






ในสมัยอยุธยาช่วงที่สองนี้ สภาวะทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมยังคงดำเนินต่อไป ดังเช่น






ที่เคยดำเนินมาในช่วงแรก แต่ในเรื่องการค้ากับต่างประเทศได้ขยายตัวมากขึ้น นับตั้งแต่สมัยสมเด็จ






พระรามาธิบดีที่ 2 (.. 2034 - .. 2072) จนถึงสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (..2199 - .. 2231)






ในสมัยนี้การค้าทั้งภายในและภายนอกเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะใน พ.. 2054 (สมัย






สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ) เป็นยุคแรกที่ชาวยุโรปตะวันตกเริ่มเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย หลังจาก






นั้นฮอลันดา อังกฤษ ก็เข้ามาติดต่อค้าขายกับไทยใน พ.. 2142 และ พ.. 2155 ตามลำดับ






พระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาโปรดให้ชาวยุโรปตะวันตกเหล่านี้เข้ามาค้าขาย และได้






พระราชทานที่ดินให้ตั้งภูมิลำเนาด้วย โดยโปรดให้จัดที่หลวงตั้งห้าง สร้างโรงสินค้าให้เช่า กรุงศรี






อยุธยาจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าขายในแถบนี้ บรรดาพ่อค้าที่เข้ามาติดต่อค้าขายมีทั้งชาวเอเชีย






และชาวตะวันตก การที่อยุธยาได้ติดต่อค้าขายกับพ่อค้าชาวต่างประเทศ ทั้งที่เป็นชาวเอเชียและชาวยุโรป ทำ






ให้รัฐได้รับประโยชน์จากการค้าเป็นอย่างมาก สินค้าบางชนิดได้กลายเป็นสินค้าผูกขาด เอกชนไม่มี






สิทธิซื้อขายเพราะสินค้าเหล่านั้นเป็นสินค้าต้องห้าม รัฐจะเป็นผู้ซื้อขายเอง เช่น เครื่องศาสตราวุธ






ดีบุก งาช้าง ไม้ฝาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เลือกซื้อสินค้าจากต่างประเทศก่อนที่จะตกถึงมือพ่อค้าเอกชน






ซึ่งการควบคุมการซื้อขายสินค้านี้จะกระทำโดยพระคลังสินค้า สังกัดกรมคลัง และการติดต่อเจรจากับ






เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส40102 เรื่องการเมืองการปกครองของไทย






ต่างประเทศจะกระทำโดยกรมท่า ซึ่งสังกัดอยู่ในกรมคลังเหมือนกัน ฉะนั้น เสนาบดีกรมคลังจึงมี






อำนาจเป็นอย่างมาก






กล่าวโดยสรุป ลักษณะทางเศรษฐกิจในสมัยอยุธยาช่วงแรก (..1893 - ..2034) และ






สมัยอยุธยาช่วงหลัง (.. 2034 - .. 2310 ) มีความคล้ายคลึงกัน คือ ขึ้นอยู่กับการเกษตรกรรม






เป็นหลัก โดยมีการค้าขายกับต่างประเทศควบคู่ไปด้วย ความแตกต่างของลักษณะเศรษฐกิจในสมัย






อยุธยาทั้ง 2 ช่วง อยู่ที่การค้ากับต่างประเทศ เนื่องจากในสมัยอยุธยาช่วงหลัง ได้มีพ่อค้า






ชาวตะวันตกเข้าติดต่อค้าขายด้วยเป็นอันมาก ต่างกับสมัยอยุธยาช่วงแรก ซึ่งมีแต่พ่อค้าทางแถบ






เอเชียและเพื่อนบ้านใกล้เคียงเท่านั้น ดังนั้น เมื่อการค้าของไทยได้ขยายตัวออกไปถึงขั้นค้าขาย






ติดต่อกับพ่อค้าชาวตะวันตก นอกเหนือไปจากพ่อค้าทางแถบเอเชียด้วยกันแล้ว ก็ย่อมจะทำให้พระ






คลังสินค้าของไทยซึ่งมีการผูกขาดการค้าอยู่แล้วประสบผลกำไรอย่างมหาศาล ทำให้ส่งผลดีต่อ






เศรษฐกิจโดยทั่วไปอีกด้วย






ลักษณะทางสังคม






ในสมัยอยุธยา อาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมศักดินา เพราะในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ






(..1991 - ..2031) พระองค์ได้ทรงตราพระราชกำหนดศักดินาขึ้นมาใช้อย่างเป็นทางการใน






..1997 โดยกำหนดให้บุคคลทุกประเภทในสังคมไทยมีศักดินาด้วยกันทั้งสิ้น นับตั้งแต่พระบรม






วงศานุวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ ลงไปถึงบรรดาไพร่ ทาส และพระสงฆ์ ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์ ซึ่ง






มิได้ระบุศักดินาเอาไว้ เพราะทรงเป็นเจ้าของศักดินาทั้งปวงนั่นเอง






คำว่า "ศักดินา" หมายถึง การถือเอาศักดิ์ของคนเป็นเกณฑ์แต่อย่างเดียว ทุกคนมีข้อกำหนด






ศักดินาตามแต่ละบุคคล โดยถือเป็นเครื่องกำหนดสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในสังคม แต่มิได้






หมายความว่าศักดินาจะเป็นข้อกำหนดตายตัวเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในการถือครองที่ดิน ใครมีศักดินา






สูงก็ต้องมีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบสูง ใครมีศักดินาต่ำก็มีสิทธิและหน้าที่ความรับผิดชอบต่ำ






ลดหลั่นกันไปตามลำดับ หน่วยที่ใช้ในการกำหนดศักดินา ใช้จำนวนไร่เป็นเกณฑ์






ระบบศักดินาจะอำนวยประโยชน์ในการควบคุมบังคับบัญชาผู้คนตามลำดับชั้นของศักดินา






และการมอบหมายให้คนมีหน้าที่รับผิดชอบที่กำหนดไว้ด้วย เมื่อบุคคลทำผิดต่อกันก็สามารถใช้






เป็นหลักในการปรับไหมได้ เช่น ผู้ใหญ่ทำผิดต่อผู้น้อยก็ปรับไหมตามศักดินาของผู้ใหญ่ ถ้าผู้น้อย






ทำผิดต่อผู้ใหญ่ก็ปรับผู้น้อยตามศักดินาของผู้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งพอจะเป็นหลักการในการป้องกันมิ






ให้ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย และมิให้ผู้น้อยละเมิดผู้ใหญ่เช่นกัน






ในสมัยอยุธยา สังคมไทยประกอบด้วยบุคคลประเภทต่าง ๆ ที่สามารถจำแนกออกได้ตาม






สิทธิ หน้าที่ และศักดิ์ของบุคคลในสังคมดังนี้






1) พระมหากษัตริย์






พระมหากษัตริย์ คือ ประมุขสูงสุดของราชอาณาจักร ทรงได้รับการยกย่องเป็นสมมติเทพ เช่น เป็น






พระนารายณ์อวตารบ้าง เป็นประดุจดังพระศิวะบ้าง ซึ่งล้วนแต่เป็นพระผู้เป็นเจ้าในศาสนา






พราหมณ์ทั้งสิ้น ดังนั้น พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจทั้งหลายทั้งปวงในแผ่นดิน






ความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์ ซึ่งสันนิษฐานว่า






ไทยรับเอามาจากเขมรอีกต่อหนึ่ง หากผู้ใดขัดขืนพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ จะต้อง






มีความผิดอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับการละเมิดอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ภายหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง






ได้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีใน พ..1893แล้ว พระองค์ทรงใช้พระนามว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1






และพระราชโอรสของพระองค์ก็ใช้พระนามว่า พระราเมศวร การออกพระนามพระมหากษัตริย์เสมือนหนึ่งพระนาม






ของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ พระนารายณ์ พระศิวะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคตินิยมที่ถือว่า






พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประดุจดังเทพเจ้า การที่อยุธยาในระยะเริ่มแรกรับเอาคตินิยมเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์






ว่าเป็นสมมติเทพ จึงทำให้ต้องมีวิธีการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้คนนึกว่าพระมหากษัตริย์มีความเป็นเทพเจ้าจริง ๆ






2) พระบรมวงศานุวงศ์






ชนชั้นสูงที่มีฐานะรองลงมาจากพระมหากษัตริย์ ได้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ ทั้งนี้หมายถึง พระบรม






วงศานุวงศ์ของพระมหากษัตริย์ซึ่งครองราชย์อยู่ในขณะใดขณะหนึ่งเท่านั้น บรรดาพระบรมวงศานุ






วงศ์ บางทีเรียกกันว่า "เจ้านาย" บรรดาเจ้านายในพระราชวงศ์นั้นทรงมีศักดินามาตั้งแต่แรกประสูติ






ทั้งสิ้น ศักดินาของพระราชวงศ์เพิ่มขึ้นและลดลงได้ตามความชอบและความผิดที่มีต่อแผ่นดิน






ในสมัยอยุธยา ภายหลังจากที่ได้มีการตราพระราชกำหนดศักดินาใน พ..1997 แล้ว ปรากฏ






ว่าบรรดาเจ้านายต่างมีศักดินาทุกพระองค์ เช่น สมเด็จพระอนุชาร่วมสายโลหิตเดียวกันกับองค์






พระมหากษัตริย์มีศักดินา 20,000 ไร่ ส่วนพระเจ้าลูกเธอมีศักดินา 15,000 ไร่ แต่ถ้าได้รับสถาปนา






เป็นพระมหาอุปราชก็จะดำรงศักดินา 100,000 ไร่ เป็นต้น






บรรดาเจ้านายหรือพระบรมวงศานุวงศ์เหล่านี้ จะได้รับส่วนแบ่งจากรายได้ภาษีอากรของ






แผ่นดิน ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงพระราชทานให้ ส่วนสิทธิตามกฎหมายของเจ้านายก็คือ จะถูก






พิจารณาคดีในศาลใด ๆ ไม่ได้ นอกจากศาลของกรมวัง และจะนำเจ้านายไปขายเป็นทาสไม่ได้






เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่ยอมให้กระทำสัญญาซื้อขายเช่นนั้นได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย






3) ขุนนางข้าราชการ






ขุนนางและข้าราชการ คือ บุคคลที่รับราชการแผ่นดินสนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ ใน






สมัยอยุธยา ขุนนางมีฐานะตั้งอยู่บนเกณฑ์ 4 ประการ คือ ศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่ง เช่น






เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ สมุหนายก ถือศักดินา 10,000ไร่ อธิบายได้ว่าขุนนางผู้นี้มีศักดินา 10,000






ไร่ ยศ คือ เจ้าพระยา ราชทินนาม คือ จักรีศรีองครักษ์ ตำแหน่ง คือ สมุหนายก เป็นต้น






ตำแหน่งขุนนางที่สำคัญ ๆ ในสมัยอยุธยา คือ สมุหพระกลาโหม ถือศักดินา 10,000 ไร่ สมุหนายก






ถือศักดินา 10,000 ไร่ บรรดาเสนาบดีจตุสดมภ์ก็มีศักดินาคนละ 10,000 ไร่ เช่นกัน






ขุนนางนั้นมีธรรมเนียมว่า จะต้องมีศักดินา 400 ไร่ขึ้นไป จึงจะเป็นขุนนางได้ ถ้าศักดินาต่ำ






กว่า 400 ไร่ แต่ไม่น้อยกว่า 25 ไร่ ก็อาจเป็นข้าราชการได้ แต่ยังไม่ถึงระดับ "ขุนนาง"






อย่างไรก็ตาม ขุนนางก็มีโอกาสจะถูกถอดออกจากตำแหน่งได้ ถ้ามีความผิด และ






บรรดาศักดิ์ของขุนนางมิได้ตกทอดไปถึงลูกหลาน เมื่อตายแล้วก็หมดสิ้นไป หรือบรรดาศักดิ์นี้อาจ






หมดสิ้นไปในขณะที่ขุนนางยังมีชีวิตอยู่ก็ได้






4) ไพร่






ไพร่ คือ บรรดาราษฎรสามัญชนในความหมายปัจจุบัน ไพร่ต้องมีภาระ คือ การรับใช้ราชการ






แผ่นดินของพระมหากษัตริย์ ไพร่จะเป็นชายฉกรรจ์ที่มีความสูงเสมอไหล่ 2 ศอกครึ่ง จะถูกมูลนาย






เอาชื่อเข้าบัญชีเพื่อเกณฑ์ไปใช้ในราชการต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ไพร่จึงต้องสังกัดอยู่กับเจ้าขุนมูลนายที่






ตนสมัครใจอยู่ด้วย การที่ชายฉกรรจ์สามัญชนทุกคนต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย ก็เพื่อแลกเปลี่ยน






กับการที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เพราะกฎหมายระบุไว้ว่า ถ้าชายฉกรรจ์ไม่มีสังกัด ก็






ไม่มีสิทธิในการศาล และไม่มีสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย






ไพร่ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทตามสังกัด คือ






(1) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่สังกัดกรมกองต่าง ๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง หน้าที่






ของไพร่หลวงจึงแตกต่างกันไปตามแต่หน้าที่ของกรมกองนั้น ไพร่หลวงมี 2 ลักษณะ คือ ประเภทที่






ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาทำงานที่ทางราชการกำหนด และประเภทที่ต้องเสียเงินหรือสิ่งของมาแทน






การเกณฑ์แรงงาน หรือเรียกว่า ไพร่ส่วย ในช่วงแรก ๆ จะมีการส่งของมาแทนการเกณฑ์แรงงาน






หรือที่เรียกว่า "การเข้าเวร" แต่ในตอนปลายสมัยอยุธยา ประมาณในช่วงแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช






จะมีการส่งเงินมาแทนการเกณฑ์แรงงานมากขึ้น เงินที่ส่งมาเรียกว่า "เงินค่าราชการ"






(2) ไพร่สม เป็นไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แก่เจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทาง






ราชการเพื่อเป็นผลประโยชน์ ไพร่สมจะตกเป็นของมูลนายตราบเท่าที่ขุนนางผู้เป็นมูลนายยังมีชีวิต






อยู่ในตำแหน่งราชการ เมื่อมูลนายถึงแก่กรรม ไพร่สมจะถูกโอนมาเป็นไพร่หลวง นอกจากบุตร






ของขุนนางผู้นั้นจะยื่นคำร้องขอควบคุมไพร่สมต่อไปจากบิดา






ไพร่หลวงเป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์และจะต้องถูกเกณฑ์แรงงานไปใช้เป็นเวลา 6 เดือน






ต่อปี คือ เข้าไปรับราชการ 1 เดือน ออกมาอยู่บ้านของตน 1 เดือน กลับเข้าไปรับราชการอีก 1 เดือน






สลับกันไปอย่างนี้ จึงเรียกการถูกเกณฑ์แรงงานในลักษณะนี้ว่า "การเข้าเวร" และ "การออกเวร"






อย่างไรก็ตาม ไพร่สามารถเปลี่ยนฐานะของตนเองได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับสูง คือ ขุนนาง






ส่วนระดับต่ำ คือ ทาส แรงงานของไพร่มีประโยชน์ต่อมูลนายทั้งในด้านการเป็นกำลังไพร่พล การ






เป็นกำลังการผลิต และแรงงานของไพร่ก็เป็นประโยชน์ของทางราชการทั้งการเป็นกำลังพลและ






กำลังการผลิตเช่นเดียวกัน






ไพร่หลวงจะมีฐานะลำบากที่สุดเมื่อเทียบกับไพร่สม เพราะไพร่สมมีหน้าที่รับใช้แต่เพียง






มูลนาย จึงมีความสบายกว่าไพร่หลวง ซึ่งถูกเกณฑ์แรงงานโดยทางราชการ จึงจำเป็นต้องทำงาน






หนักกว่า






5) ทาส






ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้มีกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเอง แต่กลับตกเป็นของนาย






จนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวให้พ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิในการซื้อขายทาสได้ทาสในสมัย






อยุธยามี 7 ประเภท คือ






(1) ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์






(2) ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย






(3) ทาสที่ได้มาจากข้างฝ่ายบิดามารดา






(4) ทาสที่มีผู้ให้






(5) ทาสที่ได้มาด้วยการช่วยเหลือคนต้องโทษทัณฑ์






(6) ทาสที่เลี้ยงดูไว้ในยามเกิดทุกข์และอดอยาก






(7) ทาสเชลย






เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส40102 เรื่องการเมืองการปกครองของไทย






สาขาวิชาสังคมศึกษาและศิลปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จังหวัดนครปฐม






นางจริยา พรจำเริญ ครูชำนาญการ 20






ทาสเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะความยากจน จึงต้องขายตัวลงเป็นทาส ส่วนคนที่มีฐานะดีก็พยายาม






ที่จะมีทาสไว้ใช้สอย






ด้วยเหตุนี้ ทาสจึงเป็นบุคคลที่ต่ำต้อยในสังคม และได้รับการดูถูกเหยียดหยามจากคนทั่วไป






ที่เหนือกว่า ขาดความเป็นตัวของตัวเอง และโอกาสที่คนจะขายตัวเป็นทาสก็มีมาก เพราะมีความ






ยากจนเป็นปัจจัยสำคัญนั่นเอง






6) พระสงฆ์






พระสงฆ์ เป็นบุคคลที่สืบทอดพระพุทธศาสนา ดังนั้น จึงได้รับการยกย่องศรัทธาจากบุคคลทุกชน






ชั้นในสังคม พระสงฆ์จึงเป็นสถาบันหลักของสังคม และเป็นบันไดสำหรับสามัญชนที่จะเปลี่ยนชน






ชั้นของตน สังคมสงฆ์เป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น เพราะชนชั้นสูงอย่างพระมหากษัตริย์หรือพระบรม






วงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการ ไพร่ ทาส ก็สามารถจะบวชเป็นพระสงฆ์ได้เช่นกัน พระมหากษัตริย์






ทุกพระองค์จะทรงเป็นองค์อุปถัมภกพระพุทธศาสนาทุกยุคทุกสมัย นอกจากนี้ วัดได้กลายเป็น






ศูนย์กลางของสังคม บุคคลที่บวชเรียนก็สามารถหาความรู้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น สถาบันสงฆ์จึงมี






บทบาทในการเชื่อมประสานระหว่างชนชั้นในสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข






3) สมัยธนบุรี






สมัยธนบุรี (..2310 - ..2325)






การปกครองในสมัยธนบุรี ไม่ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิมที่ใช้อยู่ในสมัย






อยุธยา เนื่องจากขณะนั้นเป็นระยะที่ไทยกำลังรวบรวมอาณาจักรขึ้นใหม่ พระเจ้ากรุงธนบุรี (ตาก






สิน) ทรงมีพระราชภาระในการปราบปรามบรรดาชุมนุมอิสระต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังกรุงศรีอยุธยา






แตก






ลักษณะทางเศษฐกิจ






ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชขึ้นครองราชสมบัตินั้น บ้านเมืองกำลังประสบ






ความตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างที่สุด ขาดแคลนข้าวปลาอาหาร เกิดความอดอยากยากแค้น จึงมีการ






ปล้นสะดมแย่งชิงอาหารอยู่ทั่วไป การทำไร่ทำนาต้องหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง ในช่วงปี พ.. 2311 -






2319 ข้าวปลาอาหารฝืดเคืองมาก มิหนำซ้ำยังเกิดภัยธรรมชาติซ้ำเติม ทำให้ภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้าย






อยู่แล้วกลับทรุดหนักลงไปอีก กล่าวคือ ได้เกิดมีหนูระบาดออกมากินข้าวในยุ้งฉาง ความขาดแคลน






ในระยะนั้นได้ทวีความรุนแรงถึงกับมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากกว่าเมื่อครั้งที่พม่าเข้าตีกรุงศรี






อยุธยาเสียอีกสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ด้วยกุศโลบายอันแยบคาย






ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว ดังต่อไปนี้






1) ทรงสละพระราชทรัพย์ซื้อข้าวสารราคาแพงที่ต่างชาตินำมาขาย แล้วนำไปขายให้ราษฎรในราคา






ถูก และทรงแจกเสื้อผ้า อาหารแก่ผู้ยากไร้ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งได้ผลดีอย่างยิ่งในการสร้าง






ขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชน ซึ่งภาวะจิตใจกำลังตกต่ำสุดขีดจากสภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด






2) ทรงเร่งรัดการทำนา เพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอ โดยการเกณฑ์ข้าราชการทำนาปรัง (การทำนา






นอกฤดูกาล) ในเวลาเดียวกันก็ป่าวประกาศให้ราษฎรดักหนูในนามามอบให้ทางราชการ เพื่อกำจัด






การระบาดของหนูนาให้หมดไปโดยรวดเร็ว






ทรงวางแผนระระยาว เพิ่มเนื้อที่ปลูกข้าวใกล้พะนคร โดยทรงให้ปรับปรุงพื้นที่นอกกำแพง






เมืองทั้ง 2 ฟาก ซึ่งเคยเป็นสวนเป็นป่า ให้เป็นทะเลตม พอเสร็จศึกพม่าราวกลางปี พ.. 2319 ก็ทรง






บัญชาให้กองทัพลงมือทำนาในที่ซึ่งตระเตรียมไว้นั้น






เศรษฐกิจในสมัยธนบุรีเป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพเช่นเดียวกับสมัยอยุธยา (คือทำพอมีพอกิน






ในแต่ละครอบครัว) การทำนาเป็นอาชีพหลัก นอกจากนั้นก็มีการปลูกฝ้าย ยาสูบ อ้อย ผัก และ






ผลไม้กันทั่วไป เมื่อบ้านเมืองพ้นจากภาวะสงครามไม่มีข้าศึกมารบกวน ประชาชนก็มีเวลาตั้งหน้า






ประกอบการอาชีพ ทำให้ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้น บ้านเมืองจึงสามารถกลับฟื้นคืนสู่






สภาพปกติได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ส่งผลให้เกิดธุรกิจการผลิตและการติดต่อค้าขายขยายกว้างออกไป






เกิดบริเวณชุมชนตามแหล่งผลิตต่างๆ เพิ่มขึ้น และค่อยๆ เติบโตเป็นบ้านเมืองขนาดใหญ่ ในการ






สร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจนั้น พระองค์ได้ทรงดำเนินการในด้านต่างๆ ดังนี้






1) การสร้างงานด้านการเกษตร






เพื่อเร่งรัดการผลิตอาหารได้เพียงพอสำหรับการบริโภค ในขั้นแรกได้ทรงใช้แรงงานคนไทยโดย






ระดมกำลังจากกองทัพ แต่หลังจากที่ทรงปราบปรามหัวเมืองต่างๆ ไว้ได้ในอำนาจ จึงได้แรงงาน






จากเชลยที่กวาดต้อนมาได้ เช่น แรงงานจากเชลยชาวลาว เชลยชาวเขมรใช้ในการเพาะปลูกเพิ่มขึ้น






ทั้งนี้รวมไปถึงแรงงานชาวจีนซึ่งได้รับการสนับสนุนให้เข้ามาประกอบอาชีพในราชอาณาจักรด้วย






2) การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจในหัวเมือง






เมื่อแรงงานในส่วนกลางมีมากขึ้น จึงทรงใช้แรงงานเหล่านั้นไปสร้างความเจริญให้แก่หัวเมือง เช่น






ให้คนลาวไปตั้งบ้านเรือนทำการเพาะปลูกที่เมืองสระบุรี ราชบุรี เพชรบุรี จันทบุรี ให้ชาวจีนบาง






กลุ่มไปประกอบอาชีพทำไร่ เช่น ไร่อ้อย ไร่พริกไทย ตามหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออก และ






อาชีพทำเหมืองทางภาคใต้ ธุรกิจขนาดใหญ่เหล่านี้ทำให้เกิดความเจริญเติบโตของเมือง มีชุมชน






ขนาดใหญ่เกิดขึ้นตามแห่งผลิตต่างๆ ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพซึ่งทำกันอยู่เดิมก็เริ่มเปลี่ยนเป็น






เศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ ทำให้เกิดมีโรงสีข้าว โรงงานน้ำตาล และเหมืองดีบุกขึ้นมา






3) การเปิดรับความรู้และเทคโนโลยีจากต่างประเทศ






สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงเห็นความสำคัญของความรู้ที่ต้องใช้ในการพัฒนาชาติบ้านเมือง






เช่น ความรู้ทางด้านการค้าขายและทางช่าง จึงทรงสนับสนุนให้ชาวจีนเข้ามาช่วยเหลือกิจการใน






ด้านเหล่านี้ เป็นต้นว่า การต่อเรือ การเดินเรือ การตั้งโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรกรรม เช่น โรงสี






โรงเลื่อยจักร โรงงานน้ำตาล ปรากฏว่าความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ เหล่านี้ ทำให้ผลผลิตจากชนบท






เข้าสู่เมืองมากขึ้น และส่งเสริมให้ธุรกิจเชิงพาณิชย์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว






4) การส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ






สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงส่งเสริมทางด้านการค้าขาย โดยส่งเรือสำเภาไปค้าขายยัง






ประเทศจีน อินเดีย และประเทศใกล้เคียง สำหรับสิ่งของที่บรรทุกเรือสำเภาหลวงไปขาย มี ดีบุก






พริกไทย ครั่ง ขี้ผึ้ง ไม้หอม ฯลฯ และเมื่อขายสินค้าหมดแล้วก็จะซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้






ในประเทศ เช่น ผ้าลายและถ้วยชามมาขายให้แก่ประชาชนอีกต่อหนึ่ง แต่ยังใช้ระบบการค้าขาย






แบบเดียวกับสมัยอยุธยา คือ อยู่ภายใต้การดูแลของพระคลังสินค้า หรือกรมท่า






ลักษณะทางสังคม






ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในสมัยธนบุรี กล่าวได้ว่า มีการควบคุมกันอย่างเข้มงวด






เพราะบ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงคราม ต้องสู้รบกับพม่าข้าศึกอยู่ตลอดเวลา การเกณฑ์พลเรือนเข้า






รับราชการไพร่โดย การสักเลก อันเป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณนั้น ได้มีการกวดขันเป็นพิเศษใน






สมัยนี้ โดยเฉพาะการลงทะเบียนชายฉกรรจ์เป็น ไพร่หลวง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงและ






หลบหนี แต่โดยเหตุที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงเป็นผู้นำที่สามารถและเปี่ยมด้วยความ






เมตตา ราษฎรจึงยินยอมพร้อมใจกันเสียสละพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างเต็มความสามารถ ทำให้






สังคมไทยกลับคืนสู่สภาพปกติภายในเวลาอันรวดเร็วในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช






พระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ บันทึก






ไว้ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระสติฟั่นเฟือนไป เข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบัน






และจะให้พระสงฆ์กราบไหว้พระองค์ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย นอกจากนี้






ราษฎรทั่วไปยังได้รับความเดือดร้อนจากข้าราชการที่ทุจริตกดขี่ข่มเหงหาประโยชน์ส่วนตัว เป็น






เหตุให้ละทิ้งบ้านเรือนหนีเข้าป่าไปเป็นจำนวนมาก คนร้ายกลุ่มหนึ่งที่กรุงเก่า (กรุงศรีอยุธยา) จึงถือ






โอกาสคบคิดกันปลุกปั่นยุยงราษฎรให้กระด้างกระเดื่องต่อพระเจ้ากรุงธนบุรี และก่อการกบฏเข้า






ปล้นจวนผู้รักษากรุงเก่า ฆ่าผู้รักษากรุงเก่าและคณะกรมการเมือง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช






เอกสารประกอบการสอนรายวิชาหน้าที่พลเมือง รหัสวิชา ส40102 เรื่องการเมืองการปกครองของไทย






สาขาวิชาสังคมศึกษาและศิลปะ โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จังหวัดนครปฐม






นางจริยา พรจำเริญ ครูชำนาญการ 23






ทรงมีรับสั่งให้พระยาสรรค์ขึ้นไปสอบสวน แต่พระยาสรรค์กลับไปเข้ากับพวกกบฏ และยกพวกมา






ปล้นพระราชวังที่กรุงธนบุรี ในเดือนมีนาคม พ.. 2324 บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช






ออกผนวชและคุมพระองค์ไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม แล้วพระยาสรรค์ก็ตั้งตนเป็น






ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทน ทางฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งไปราชการทัพเมืองเขมร






และกำลังจะยกเข้าตีเมืองเสียมราฐ เมื่อทราบข่าวเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี จึงรีบยกทัพกลับ ขณะนั้น






เป็นเดือนเมษายน พ.. 2325 เมื่อมาถึงก็ได้สอบสวนเรื่องราวความยุ่งยากที่เกิดขึ้น และให้ประชุม






ข้าราชการ ที่ประชุมลงความเห็นว่าให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสีย






ตลอดรัชสมัยของพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องทรงตรากตรำในการสู้รบ






เพื่อดำรงความเป็นเอกราชและขยายขอบเขตแผ่นดินไทย จนสามารถขยายเป็นอาณาจักรใหญ่ใน






แหลมทองนี้ นับได้ว่าพระองค์ทรงเป็นนักรบอย่างแท้จริง มิได้ทรงมีโอกาสแม้แต่จะเสวยสุขสงบ






แม้ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ ในตอนปลายรัชกาล พระยาสรรค์ได้ก่อกบฏ บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย






จนเป็นเหตุให้ทรงถูกสำเร็จโทษ






4) สมัยรัตนโกสินทร์






สมัยรัตนโกสินทร์ (..2325 - ปัจจุบัน)






รูปแบบการปกครองของกรุงศรีอยุธยาคงใช้อยู่เรื่อยมา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่ง






ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้มีการปฏิรูปการปกครองขึ้น






อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าการปรับปรุงระเบียบแบบแผนการปกครอง ในสมัย






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการวางแนวรากฐานเตรียมพร้อมไว้สำหรับการ






ปฏิรูปมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยพระองค์ได้ทรง






สนับสนุนให้มีการศึกษาอารยธรรมตะวันตก ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับทราบถึงความเจริญก้าวหน้าใน






หลักการปกครองของชาติตะวันตกและนำมาปรับปรุงการปกครองของไทย






ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคมของ






ชาวตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของไทยต้องตกเป็น






อาณานิคมของประเทศทั้งสอง ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มิได้เป็นอาณานิคมของชาติใด






ประเทศมหาอำนาจต่าง ๆ จึงแข่งขันกันเพื่อเข้ามามีอิทธิพลเหนือประเทศไทย






พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงดำเนินนโยบายทางการทูต เพื่อมิให้






ประเทศมหาอำนาจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือเป็นข้ออ้างในการยึดครองประเทศไทย โดยการเร่งพัฒนา






ประเทศให้มีความเจริญในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และศึกษาหาความรู้ ความเข้าใจในภาษา






วัฒนธรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ ของชาติตะวันตก อันจะทำให้การเจรจากับประเทศเหล่านั้นดีขึ้น






พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีแนวความคิดที่มีประโยชน์ต่อการปกครองอย่างยิ่ง






2 ประการ คือ






1) การศึกษาภาษาต่างประเทศ พระองค์ทรงศึกษาภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง เพื่อจะได้ใช้เจรจากับ






ประเทศมหาอำนาจ กับส่งเสริมให้ข้าราชการได้ศึกษาหาความรู้ให้สามารถเข้าใจภาษาต่างประเทศ






จะได้ไม่เสียเปรียบชาวต่างประเทศ






2) การบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ทรงจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาช่วยราชการด้านต่าง ๆ






เช่น ครูฝึกทหาร ครูสอนภาษาอังกฤษ ผู้จัดการท่าเรือ ผู้อำนวยการศุลกากร เป็นต้น เพื่อพัฒนาให้






ประเทศไทยมีความเจริญในด้านต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็ฝึกให้ข้าราชการไทยได้มีความรู้






ความสามารถในการปฏิบัติราชการต่อไปด้วย






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิรูปการปกครอง เพราะทรงเห็นว่าเป็นหนทาง






หนึ่งที่จะรักษาเอกราชของบ้านเมืองไว้ได้ในช่วงการขยายลัทธิจักรวรรดินิยมของชาติตะวันตก การ






ปรับปรุงการปกครองให้ทันสมัย ทำให้ชาวต่างชาติเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่เจริญแล้ว






สามารถปกครองดูแลพัฒนาบ้านเมืองได้ นอกจากนี้ ยังทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีความ






เป็นอยู่ดีขึ้น ประเทศชาติมีรายได้ในการทำนุบำรุงบ้านเมืองมากขึ้น ทำให้สายตาของชาวต่างชาติ






มองประเทศไทยต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ และด้วยการวางวิเทโศบายทางการทูตกับชาติ






ตะวันตกอย่างเหมาะสม ยอมรับว่าชาวยุโรปเป็นชาติที่เจริญ ให้เกียรติและยกย่อง พร้อมกับ






เปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติบางอย่าง เพื่อให้เห็นว่าไทยไม่ใช่ชนชาติป่าเถื่อน เช่น ให้ข้าราชการสวมเสื้อ






เวลาเข้าเฝ้า นอกจากนั้น ยังยอมผ่อนปรนอย่างชาญฉลาด แม้จะเสียผลประโยชน์หรือดินแดนไป






บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย ยังสามารถรักษาส่วนใหญ่ไว้ได้ ทำให้ประเทศไทยคงความเป็นชาติที่มีเอก






ราชมาได้ตลอด






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีแนวความคิดในการปฏิรูปการปกครองอยู่ 3 ประการ คือ






1) การรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางมากขึ้น ทั้งนี้เพื่อมิให้ชาติตะวันตกอ้างเอาดินแดนไปยึดครองอีก






ถ้าอำนาจของรัฐบาลกลางแผ่ไปถึงอาณาเขตใด ก็เป็นการยืนยันว่าเป็นอาณาเขตของประเทศไทย






2) การศาลและกฎหมายที่มีมาตรฐาน จากการยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในรัชกาลที่ 4 เป็น






เพราะประเทศอาณานิคมอ้างว่าศาลไทยไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้น รัชกาลที่ 5 จึงทรง






พระราชดำริที่จะปรับปรุงการศาลยุติธรรมและกฎหมายไทยให้เป็นสากลมากขึ้น






3) การพัฒนาประเทศ พระองค์ทรงริเริ่มนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น






สร้างถนน ขุดคูคลอง จัดให้มีการปกครอง ไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ เป็นต้น






การปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ก่อให้เกิดการจัดระเบียบ






การปกครองที่สำคัญ จำแนกได้ 3 ส่วน คือ






1) การปกครองส่วนกลาง






การปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล






ที่ 5 คือ ทรงยกเลิกตำแหน่งอัครเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหม และสมุหนายก รวมทั้ง






จตุสดมภ์ โดยแบ่งการบริหารราชการออกเป็นกระทรวงตามแบบอารยประเทศ และให้มีเสนาบดี






เป็นผู้ว่าการแต่ละกระทรวง กระทรวงที่ตั้งขึ้นทั้งหมด เมื่อ พ..2435 มี 12 กระทรวง คือ






(1) มหาดไทย รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาว






(2) กลาโหม รับผิดชอบหัวเมืองฝ่ายใต้ หัวเมืองฝ่ายตะวันออก ตะวันตก และเมืองมลายู






(3) ต่างประเทศ รับผิดชอบเกี่ยวกับการต่างประเทศ






(4) วัง รับผิดชอบเกี่ยวกับกิจการในพระราชวัง






(5) เมืองหรือนครบาล รับผิดชอบเกี่ยวกับการตำรวจและราชทัณฑ์






(6) เกษตราธิการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการเพาะปลูก เหมืองแร่ ป่าไม้






(7) คลัง รับผิดชอบเกี่ยวกับภาษีอากรและงบประมาณแผ่นดิน






(8) ยุติธรรม รับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคดีและการศาล






(9) ยุทธนาธิการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการทหาร






(10) ธรรมการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษา การสาธารณสุขและสงฆ์






(11) โยธาธิการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการก่อสร้าง ถนน คลอง การช่าง ไปรษณีย์โทรเลข และรถไฟ






(12) มุรธาธิการ รับผิดชอบเกี่ยวกับการรักษาตราแผ่นดิน และงานระเบียบสารบรรณ






ภายหลังได้ยุบกระทรวงยุทธนาธิการไปรวมกับกระทรวงกลาโหม และยุบกระทรวงมุรธาธิการไป






รวมกับกระทรวงวัง คงเหลือเพียง 10 กระทรวง เสนาบดีทุกกระทรวงมีฐานะเท่าเทียมกัน และ






ประชุมร่วมกันเป็นเสนาบดีสภา ทำหน้าที่ปรึกษาและช่วยบริหารราชการแผ่นดินตามที่






พระมหากษัตริย์ทรงมอบหมาย เพราะอำนาจสูงสุดเด็ดขาดเป็นของพระมหากษัตริย์ตามระบอบ






สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงแต่งตั้ง "สภาที่ปรึกษาในพระองค์" ซึ่ง






ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "รัฐมนตรีสภา" ประกอบด้วย เสนาบดี หรือผู้แทน กับผู้ที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง






รวมกันไม่น้อยกว่า 12 คน จุดประสงค์เพื่อให้เป็นที่ปรึกษาและคอยทัดทานอำนาจพระมหากษัตริย์






แต่การปฏิบัติหน้าที่ของสภาดังกล่าวไม่ได้บรรลุจุดประสงค์ที่ทรงหวังไว้ เพราะสมาชิกส่วนใหญ่






ไม่กล้าโต้แย้งพระราชดำริ คณะที่ปรึกษาส่วนใหญ่มักพอใจที่จะปฏิบัติตามมากกว่าที่จะแสดงความ






คิดเห็น นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังทรงแต่งตั้ง "องคมนตรีสภา" ขึ้นอีก






ประกอบด้วยสมาชิกเมื่อแรกตั้งถึง 49 คน มีทั้งสามัญชน ตั้งแต่ชั้นหลวงถึงเจ้าพระยา และพระ






ราชวงศ์ องคมนตรีสภานี้อยู่ในฐานะรองจากรัฐมนตรีสภา เพราะข้อความที่ปรึกษา และตกลงกันใน






องคมนตรีสภาแล้วจะต้องนำเข้าที่ประชุมรัฐมนตรีสภาก่อนแล้วจึงจะเสนอเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ






2) การปกครองส่วนภูมิภาค






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริให้ยกเลิกการปกครองหัวเมือง และให้






เปลี่ยนแปลงเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคโดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง






ท้องที่ ร..116 ขึ้น เพื่อจัดการปกครองเป็นมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ดังนี้






(1) มณฑลเทศาภิบาล ประกอบด้วยเมืองตั้งแต่ 2 เมืองขึ้นไป มีสมุหเทศาภิบาล ที่พระมหากษัตริย์






ทรงแต่งตั้งไปปกครองดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ






(2) เมือง ประกอบด้วยอำเภอหลายอำเภอ มีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้รับผิดชอบ ขึ้นตรงต่อข้าหลวง






เทศาภิบาล






(3) อำเภอ ประกอบด้วยท้องที่หลาย ๆ ตำบล มีนายอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบ






(4) ตำบล ประกอบด้วยท้องที่ 10 - 20 หมู่บ้าน มีกำนันซึ่งเลือกตั้งมาจากผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบ






(5) หมู่บ้าน ประกอบด้วยบ้านเรือนประมาณ 10 บ้านขึ้นไป มีราษฎรอาศัยประมาณ 100 คน เป็น






หน่วยปกครองที่เล็กที่สุด มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบ






ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ยกเลิก มณฑลเทศาภิบาล และ






เปลี่ยน เมือง เป็น จังหวัด






3) การปกครองส่วนท้องถิ่น






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในรูป






สุขาภิบาล ซึ่งมีหน้าที่คล้ายเทศบาลในปัจจุบัน เป็นครั้งแรกเมื่อ พ..2440 โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตรา






พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร..116 (..2440) ขึ้นบังคับใช้ในกรุงเทพฯ ต่อมาใน






..124 (.. 2448) ได้ขยายไปที่ท่าฉลอม ปรากฏว่าดำเนินการได้ผลดีเป็นอย่างมาก ต่อมา






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล






..127 (..2451) ขึ้น โดยแบ่งสุขาภิบาลออกเป็น 2 ประเภท คือ สุขาภิบาลเมืองและสุขาภิบาล






ตำบล ท้องถิ่นใดเหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นสุขาภิบาลประเภทใด ก็ให้ประกาศตั้งสุขาภิบาลในท้องถิ่น






นั้น แม้ว่าการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์จะเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่พระราชกรณียกิจ






บางประการของพระมหากษัตริย์ก็ถือได้ว่าเป็นการปูพื้นฐานการปกครองระบอบ






ประชาธิปไตย โดยเฉพาะในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงดำเนินการ






ดังต่อไปนี้






1) การเลิกทาส






ทรงประกาศเลิกทาสเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม พ..2417 นโยบายการเลิกทาสของพระองค์นั้นเพื่อให้






ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคทัดเทียมกัน อันเป็นหลักการสำคัญของระบอบ






ประชาธิปไตย






2) การสนับสนุนการศึกษา






ทรงจัดตั้งโรงเรียนเพื่อสนับสนุนให้คนไทยได้มีโอกาสเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ ตั้งทุน






พระราชทาน ส่งผู้มีความสามารถไปศึกษาต่อต่างประเทศ จากการสนับสนุนการศึกษาอย่าง






กว้างขวางนี้ นับได้ว่าเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดในการปกครองประเทศสู่






ระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา






3) การปฏิรูปการปกครอง






ทรงเปิดโอกาสให้ข้าราชการมีส่วนรับผิดชอบในการบริหารมากขึ้น ทรงสนับสนุนการปกครอง






ท้องถิ่นด้วยการจัดตั้งสุขาภิบาล ทำให้ประชาชนธรรมดามีส่วนและมีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์






การบริหารการปกครอง ตามหลักการประชาธิปไตยที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนในการปกครอง






บ้านเมือง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้มีการส่งเสริมการศึกษาให้






แพร่หลาย มีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นหลายแห่ง และสนับสนุนให้ทุนหลวงโดยส่งนักเรียนไปเรียนใน






ต่างประเทศ มีการศึกษาภาคบังคับ โดยกำหนดว่าเด็กที่มีอายุครบเกณฑ์ 7 ปี ต้องเข้ารับการศึกษาขั้น






ประถมศึกษา ทำให้ประชาชนมีการศึกษาเพิ่มขึ้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง






แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงนิยมระบอบประชาธิปไตย โดยได้ทรงตั้ง "เมืองสมมุติดุสิตธานี" ขึ้น






ในบริเวณวังพญาไท จำลองรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยขึ้นใช้ในเมืองสมมุตินั้น โดย






โปรดเกล้าฯ ให้มีรัฐธรรมนูญการปกครองลักษณะนคราภิบาล ซึ่งเปรียบเสมือนรัฐธรรมนูญของ






เมือง และให้ข้าราชบริพารสมมุติตนเองเป็นราษฎรของดุสิตธานี มีการจัดตั้งสภาการเมืองและเปิด






โอกาสให้ราษฎรสมมุติใช้สิทธิใช้เสียงแบบประชาธิปไตย เป็นเสมือนการฝึกหัดการปกครองแบบ






ประชาธิปไตย






พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานสัมภาษณ์ แก่นักหนังสือพิมพ์






ในระหว่างเสด็จเยี่ยมเยียนสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ..2474 ว่า พระองค์ทรงเตรียมการ






ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชน เพราะทรงเห็นว่าคนไทยมีการศึกษาดีขึ้น มีความคิด






อ่าน และสนใจทางการเมืองมากขึ้น เมื่อเสด็จกลับมา พระองค์ทรงมอบให้พระศรีวิสารวาจา ที่






ปรึกษากฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และนายเรมอน สตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการ






ต่างประเทศ พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญขึ้น แต่ดำเนินการไม่ทันแล้วเสร็จ ก็มีการปฏิวัติขึ้นเมื่อวันที่






24 มิถุนายน พ..2475 โดยคณะราษฎรได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ






สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย






การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย มีความคิดและความเคลื่อนไหวเพื่อการปกครองตามระบอบ






ประชาธิปไตย เริ่มปรากฏให้เห็นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ ร.. 103






(.. 2427) และมีเหตุการณ์อื่นอันเป็นแรงผลักดันมากขึ้น สืบสานความคิดมาเป็นการยึดอำนาจ






การปกครองของประเทศในวันที่ 24 มิถุนายน พ.. 2475






ความคิดและความเคลื่อนไหวเพื่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย มีมาจาก






ประชาชนในยุโรป และอเมริกา ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 23 การปกครองของอังกฤษซึ่งค่อยๆ ดำเนิน






ไปสู่ระบบรัฐสภาแห่งเสรีประชาธิปไตย โดยไม่ต้องมีการปฏิวัติเสียเลือดเนื้อ การเรียกร้องสิทธิใน






การปกครองตนเองของอเมริกาจากอังกฤษใน พ.. 2319 (.. 1776) และการปฏิวัติในประเทศ






ฝรั่งเศสใน พ.. 2332 (..1789) หลังจากนั้นความคิดแบบประชาธิปไตยก็แพร่ขยายไปยังประเทศ






ต่างๆ ประเทศไทยก็ได้รับแนวความคิดเรื่องการปกครองประเทศระบอบประชาธิปไตยด้วยการ






ติดต่อกับประเทศในยุโรปและอเมริกาการติดต่อกับต่างประเทศในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์






เริ่มตั้งแต่มีพระราชไมตรีทางการค้ากับประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.. 2367






ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพวกมิชชันนารีจากประเทศสหรัฐอเมริกา






เข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนาในประเทศไทย คนไทยเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษ ศึกษาวิทยาการต่างๆ






โดยเฉพาะพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ กลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์ และกลุ่มข้าราชการก็ศึกษาวิชาการต่างๆ ด้วย






ดังนั้นสังคมไทยบางกลุ่มจึงได้มีค่านิยมโลกทัศน์ตามวิทยาการตะวันตก






เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ใน พ.. 2394 นั้นพระองค์






ทรงตระหนักว่าถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องยอมเปิดสันติภาพกับประเทศตะวันตกในลักษณะใหม่






และปรับปรุงบ้านเมืองให้ก้าวหน้าเยี่ยงอารยประเทศ ทั้งนี้เพราะเพื่อนบ้านกำลังถูกคุกคามด้วยลัทธิ






จักรวรรดินิยม จึงทรงเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศของไทยมาเป็นการยอมทำสนธิสัญญาตาม






เงื่อนไขของประเทศตะวันตก และพยายามรักษาไมตรีนั้นไว้เพื่อความอยู่รอดของประเทศ






ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะ






ปฏิรูปประเทศไทยให้เจริญทัดเทียมกับประเทศตะวันตก ปัจจัยที่จะนำไปสู่จุดหมายได้คือ คน เงิน






และการบริหารที่ดี ทรงมีพระราชดำริว่า หนทางแห่งความก้าวหน้าของชาติจะมีมาได้ก็ต้องอาศัย






การศึกษาเป็นปัจจัย จึงทรงตั้งพระราชหฤทัยเด็ดเดี่ยวว่า เยาวชนรุ่นใหม่ทั้งของราชวงศ์และบุตรขุน






นางจะต้องได้รับการศึกษาอย่างดีกว่ารุ่นพระองค์เอง ในระยะแรกอิทธิพลของประเทศตะวันตกที่มี






ต่อประเทศไทยคือ ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้พระองค์






เจ้าปฤษฎางค์ หม่อมเจ้าเจ๊ก นพวงศ์ กับพระยาชัยสุรินทร์ (... เทวหนึ่ง สิริวงศ์) ไปเรียนที่






ประเทศอังกฤษเป็นพวกแรก นับว่าเป็นครั้งแรกที่ทรงส่งนักเรียนหลวงไปเรียนถึงยุโรป ต่อมาก็ส่ง






พระราชโอรสและนักศึกษาไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศ






เดนมาร์ก และประเทศรัสเชีย ก่อนหน้านั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคัดเลือก






หม่อมเจ้า 14 คน ไปเรียนหนังสือที่สิงคโปร์ 2 ปี ระหว่าง พ.. 2413 - .. 2415 ในโอกาสที่






พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปสิงค์โปร์ในปี พ.. 2413 นั่นเป็นการเตรียมคนที่จะเข้ามาช่วยแบ่ง






เบา พระราชภาระในการปรับปรุงประเทศ การเตรียมปัจจัยการเงินเป็นการเตรียมพร้อม






ประการหนึ่ง ถ้าขาดเงินจะดำเนินกิจการใดให้สำเร็จสมความมุ่งหมายคงจะเป็นไปได้ยาก






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า การจัดการเงินแบบเก่ามีางรั่วไหลมาพวกเจ้า






ภาษีนายอากรไม่ส่งเงินเข้าพระคลังครบถ้วนตามจำนวนที่ประมูลได้พระองค์จึงทรงจัดการเรื่อง






การเงินของแผ่นดินหรือการคลังทันทีที่พระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ มีอำนาจในการปกครอง






แผ่นดินเต็มที่ เริ่มด้วยให้ตราพระราชบัญญัติตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ จ.. 1235 (.. 2416) มี






พระราชบัญญัติกรมพระคลังมหาสมบัติในปี จ.. 1237 (.. 2418) เพื่อจะได้ใช้จ่ายทุนบำรุง






ประเทศ ต่อมาทรงให้จัดทำงบประมาณจัดสรรเงินให้แต่กระทรวงต่างๆ เป็นสัดส่วน






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังไม่ทรงทันได้ปรับปรุงการปกครองประเทศ






ให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้ ก็มีกลุ่มเจ้านายและข้า ราชการทำหนังสือกราบ






บังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองราชการแผ่นดินเมื่อ ร.. 103 (..2427) ทั้งนี้






อาจจะวิเคราะห์ได้ว่า ที่พระองค์ยังไม่ทรงปรับปรุงงบการบริหารประเทศก่อน พ.. 2428 เพราะมี






เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น คือ วิกฤติการณ์วังหน้า เมื่อพ.. 2417 การที่ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ให้






รวมเงินมาอยู่ที่เดียวกัน กระทบกระเทือนต่อเจ้านาย เละข้าราชการ โดยเฉพาะกรมพระราชวังบวร






สถานมงคล กรมหมื่นไชยชาญ วิกฤติการณ์วังหน้าเป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างวังหลวงกับวัง






หน้า แสดงถึงปฏิกิริยาโต้ตอบ การริเริ่มดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางคือสถาบันกษัตริย์ เห็นได้ชัดเจน






ว่าเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคล กรมหมืนวิไชยชาญ ทิวงคต ในปี พ.. 2428 พระบาทสมเด็จ






พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงปรับปรุงการบริหารการปกครองส่วนกลางเป็น 12 กรม (ต่อมา






เรียกว่า กระทรวง) ในปี พ.. 2432ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยให้เป็นไป






ตามระบอบประชาธิปไตย ได้เริ่มมีมาแต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมีความ






เคลื่อนไหวมาตลอดจนถึงวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 แนวความคิดและความ






เคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้แก่






1. การเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญ ของกลุ่มเจ้านายและข้าราชการใน ร..103






2. ร่างรัฐธรรมนูญ แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว






3. บทความเกี่ยวกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยของเทียนวรรณ






4. ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของกลุ่มกบฏ ร..130






5. แนวพระราชดำริและการเตรียมการเรื่องระบอบประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระ






มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว






การเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญของกลุ่มเจ้านายและข้าราชการใน ร..103






.. 103 ตรงกับ พ.. 2427 เป็นปีที่ 17 ของการครองราชย์ชองพระบาทสมเด็จพระ






จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีเจ้านายและข้าราชการ จำนวนหนึ่งที่รับราชการ ณ สถานทูตไทย ณ กรุง






ลอนดอน และกรุงปารีส ได้ร่วมกันลงชื่อในเอกสารกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลง






การปกครองราชการแผ่นดิน ร.. 103 ทูลเกล้าฯ ถวาย ณ วันพฤหัสบดี แรม 8 ค่ำ เดือน 2 ปีวอก ฉอ






ศอ ศักราช 124 ตรงกับวันที่ 9 เดือนมกราคม พ..2427เจ้านายและข้าราชการที่จัดทำหนังสือกราบบังคมทูล






ความเห็นครั้งนั้น มีพระนามชื่อปรากฏอยู่ท้ายเอกสาร ได้แก่






1. พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ (พระเจ้าบรมวงเธอกรมพระนเรศร์ วรฤทธิ์ )






2. พระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าโสณบัณฑิต (พระเจ้าบรมวง เธอกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิธาดา)






3. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (สมเด็จกรมพระสวัสดิ์วัฒน วิศิษฏ์)






4. พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ (พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าปฤษฎางค์)






5. นายนกแก้ว คชเสนี {พระยามหาโยธา)






6. หลวงเดชนายเวร(สุ่น สาตราภัย ต่อมาเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาอภัยพิพิธ)






7. บุศย์ เพ็ญกุล (จมื่นไวยวรนาถ)






8. ขุนปฏิภาณพิจิตร(หุ่น)






9. หลวงวิเสศสาลี (นาค)






10. นายเปลี่ยน






11. สัปเลฟเตอร์แนนสะอาด






สาระสำคัญของคำกราบบังคมทูล นี้อยู่สามข้อ กล่าวคือ






1. ภัยอันตรายจะมาถึงบ้านเมือง เนืองจากการปกครองในขณะนั้น






2. การที่จะรักษาบ้านเมืองให้พ้นอันตราย ต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงบำรุงรักษาบ้านเมือง






แนวเดียวกับที่ญีปุ่นได้ทำตามแนวการปกครองของประเทศในยุโรป






3. การที่จะจัดการตามข้อ 2 ให้สำเร็จ ต้องลงมือจัดให้เป็นจริงทุกประการ






พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสตอบ ความเห็นของคณะที่กราบ






บังคมทูลจะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองว่า พระองค์ทรงตระหนักในอันตรายที่กล่าวมานั้นและไม่






ต้องห่วงว่าพระองค์จะทรงขัดขวางในการที่จะเสียอำนาจซึ่งเรียกว่า แอบโซลูด พระองค์ทรงกล่าว






ต่อไปว่าเมื่อพระองค์ทรงครองราชสมบัติใหม่ๆ ทรงไม่มีอำนาจอันใดเลย ขณะพระองค์ทรงมี






อำนาจบริบูรณ์ ในเวลาที่ทรงมีอำนาจน้อย ก็มีความลำบาก เวลานี้มีอำนาจมากก็มีความลำบาก






พระองค์จึงทรงปรารถนาอำนาจปานกลาง ได้ทรงครองราชย์มาถึง 17-18 ปี ได้ทรงศึกษาเหตุการณ์






บ้านเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่เหมือนคางคกในกะลาครอบหรือทรวอยู่






เฉยๆ ไม่ได้ทรงทำอะไรเลย ที่เรียกร้องให้มีรัฐบาล (คอเวอนเมนต์) ก็มีเสนาบดีเป็นรัฐบาลแล้ว แต่






ยังไม่ดี สิ่งที่พระองค์ทรงต้องการคือคอเวอนเมนตรีฟอมหมายถึงให้พนักงานของราชการ






แผ่นดินทุกๆ กรมทำการให้ได้เต็มที่ ให้ได้ประชุมปรึกษากัน ติดต่อกันง่ายและเร็ว อีกประการหนึ่ง






ทรงหาผู้ทำกฎหมายสละที่ปรึกษากฎหมายการกระทำทั้งสองประการต้องได้สำเร็จก่อน การอื่นๆ ก็






จะสำเร็จตลอด แท้จริงแล้วพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระบรมราโชบายที่จะทรง






ปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินมาตั้งแต่พระองค์ทรงมีอำนาจในการปกครองอย่างสมบูรณ์






กล่าวคือ ใน พ..2417 ได้ทรงสถาปนาสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์






เป็นองค์กใหม่ช่วยบริหารประเทศ โดยทรงมีพระราชดำริว่า ราชการบ้านเมืองที่จะเกิดขึ้นใหม่และ






ที่คั่งค้างมาแต่เดิมนั้น ไม่สามารถที่จะทรงจัดการให้สำเร็จโดยลำพังพระองค์เองถ้ามีผู้ช่วยกัน คิด






หลายปัญญาแล้ว การที่รกร้างมาแต่เดิม ก็จะปลดเปลื้องไปทีละน้อยๆ ความดีความเจริญก็ยังเกิดแก่






บ้านเมือง... สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) มีสมาชิกเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยา






2 นาย ทำหน้าที่ประชุมปรึกษาข้อราชการและออกพระราชกำหนดกฎหมายตามพระบรมราช






โองการ หรืออาจจะกราบบังคมทูลเสนอความคิดเห็นในการออกกฎหมายใหม่ ส่วนสภาที่ปรึกษา






ในพระองค์ (Privy Council) สมาชิกของสภานี้คือ พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการระดับต่างๆ มี






49 นาย ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาข้อราชการ และเสนอความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งอาจจะนำไป อภิปราย






ในสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน แต่ปรากฏว่าสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาใน






พระองค์ไม่ได้มีผลงานหรือจะเรียกว่าประสบความล้มเหลว สมาชิกทั้งสองสภาไม่ค่อยได้แสดง






ความคิดเห็นตามวิถีทางอันควร อาจเป็นเพราะขาดความรู้ความสามารถ และหรือไม่กล้าที่จะออก






ความคิดเห็นซึ่งไม่ใช่ลักษณะที่เคยทำมาก่อน






สรุป






ประเทศไทยมีการปกครองแบบสมบรูณาญาสิทธิราชย์มาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ






จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้มีความเคลื่อนไหวจากกลุ่มข้าราชการและประชาชนให้มีการปกครอง






ตามระบอบประชาธิปไตย ความคิดที่จะให้มีการปกครองในแนวประชาธิปไตยนี้ ได้รับอิทธิพลจาก






ชาวตะวันตก สือเนื่องจากประเทศไทยได้มีการติดต่อกับชาวตะวันตกตั้งแตั่ชสมัยพระบาทสมเด็จ






พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา






การติดต่อกับต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศทางยุโรป นับว่าเป็นความจำเป็นมหาอำนาจ






ตะวันตกได้แข่งขันกันแสวงหาอาณานิคมในเอเชีย โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของไทยได้ตกเป็น






อาณานิคมของประเทศอังกฤษและฝรั่งเศส ดังนั้น พระบรมวิเทโศบายของพระบาทสมเด็จพระจอม






เกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงเน้นหนักไปในทางผูกมิตรกับมหาอำนาจตะวันตกและประเทศในยุโรปอื่นๆ






พร้อมกับเร่งศึกษาวิทยาการของชาวตะวันตก เพื่อจะได้ปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบอารยประเทศ






จากการได้ศึกษาวิทยาการของชาวตะวันตก ทำให้กลุ่มข้าราชการและประชาชนได้รู้เรื่อง การ






ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยความรักชาติและประสงค์จะให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง






เหมือนประเทศที่ได้ปรับปรุงการบริหารประเทศแล้ว เช่น ประเทศญี่ปุ่น กลุ่มข้าราชการ และ






ประชาชนที่ได้รับการศึกษาหรือได้ไปศึกษาดูงานวิทยาการแบบตะวันตก จึงกราบบังคมทูล






พระบาทสมเด็จพระจุลตอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายปกครองประเทศ






นอกจากข้อเสนอคำ กราบบังคมทูลของกลุ่มเจ้านาย ข้าราชการ ใน ร.. 103 แล้ว ยังมี






นักหนังสือพิมพ์คือ เทียนวรรณ ได้เสนอความคิดและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ในหน้า






หนังสือพิมพ์ เห็นว่าควรมีรัฐสภา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็น






ด้วยกับการที่จะมีการปกครองแบบรัฐสภา และมีรัฐธรรมนูญแต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้






ประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ แม้แต่ข้าราชการขของพระองค์บาง






กลุ่มก็ยังไม่ได้แสดงว่าเข้าใจในระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้น ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระ






จุลจอมเกล้าเจาอยู่หัว ยังทรงปกครองพระเทศชาติด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็ได้ทรง






ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดินสอดคล้องกับการบริหาราชการแผ่นดินของประเทศในยุโรป






พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีแนวพระราชดำริในเรื่องการปกครองใน






ระบอบประชาธิปไตย เหมือนกับสมเด็จพระบรมชนกนาถ จึงเป็นเหตุให้กลุ่มนายทหารบกชั้น






ผู้น้อยทำการปฏิวัติการปกครอง แต่ไม่สำเร็จ จึงได้รับสมญานามว่า กบฎ ร.. 103 พระบาทสมเด็จ






พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราโชบายเน้นหนักทางลัทธิชาตินิยม ให้รักชาติ มีความ






สามัคคี โดยเฉพาะเน้นในเรื่องการจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์






ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงแม้ว่าพระองค์จะยังไม่ทรงเห็น






ด้วยที่จะให้ประชาชนมีการปกครองตนเองตามระบอบรัฐธรรมนูญ แต่พระองค์ทรงทราบในพระ






ราชหฤทัยดีว่า ถึงเวลาที่จะต้องพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่เป็นการปกครองตามระบอบ






ประชาธิปไตยขึ้น หนังสือพิมพ์ใช้ถ้วยคำรุนแรงเมื่อพูดถึงเจ้าซึ่งมีฐานะเหนือประชาชนธรรมดา






พระองค์จึงทรงเตรียมการให้ผู้ที่มีความสามารถต่างรัฐธรรมนูญและทรงตั้งพระราชหฤทัยว่าจะ






พระราชทานรัฐธรรมนูญแต่ประชาชนชาวไทยในวันที่ 6 เมษายน พ.. 2475 ซึ่งเป็นวันครบรอบ






150 ปี ของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี จากการที่คณะอภิรัฐมนตรีเห็นว่าควรยืด






ระยะเวลาการพระราชทานรัฐธรรมนูญออกไปอีก เพราะประชาชนยังไม่พร้อมที่จะอยู่ในการ






ปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงยับยั้งการพระราชทาน






รัฐธรรมนูญไว้ การที่พระองค์ทรงลังเลพระราชหฤทัย จึงทำให้คณะราษฎรซึ่งได้เตรียมการไว้แล้ว

ปฏิวัติยึดอำนาจปกครองในวันที่ 24 เมษายน พ.. 2475